
วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่เขตบางขุนเทียน หลังพบปัญหาปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ติดกับจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และเป็นเขตที่เป็นน้ำกร่อย ทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย
โดยจุดแรกที่ลงพื้นที่คือ สถานีสูบน้ำและประตูเรือสัญจร คลองสนามชัย-บางขุนเทียน ซึ่งพบว่าภายในคลองเต็มไปด้วยปลาหมอคางดำจำนวนมากที่โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ เพื่ออ้าปากหายใจ จากนั้นนายชัชชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่บริเวณคลองนา แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน เพื่อพบปะเกษตรกรและรับฟังปัญหาปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่แพร่กระจายมาจากจังหวัดสมุทรสงคราม ทำให้ตอนนี้พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร คือเขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ และบางบอน ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ที่ทำบ่อกุ้ง และบ่อปลาประมาณ 900 ราย ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะทำให้ได้รับผลกระทบในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อราคาอาหาร ร้านอาหาร และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่างๆ เป็นห่วงโซ่ จึงต้องเร่งประสานกับกรมประมงในการเข้ามาดูแลจัดการ โดยกรุงเทพฯ จะทำงานประสานงานกับกรมประมงอย่างใกล้ชิด แล้วจะต้องหาวิธีเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนรายได้ลดลง 10 เท่า จากปลาและกุ้ง ที่ถูกปลาหมอคางดำกิน ส่วนตัวปลาหมอคางดำที่จับมาได้ก็ขายได้ราคาไม่ดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ จะมีเพียง 3 เขต ของกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบ แต่เชื่อว่าหากไม่รีบจัดการแก้ไข มีแนวโน้มว่าจะกระจายไปไกล เนื่องจากว่าปลาดังกล่าวมีการแพร่กระจายได้เร็วและอยู่ได้ทั้งน้ำจืดน้ำกร่อย จึงกลัวว่าจะมีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งต้องมีการสกัดกั้น โดยปรึกษาด้านเทคนิคกับกรมประมง เพราะการสกัดหมายความว่าเป็นการสกัดปลาทุกชนิด อาจจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศ จึงต้องมีการทำอย่างละเอียด
ด้าน นายศรายุทธ์ เมธินาพิทักษ์ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง สำนักงานประมงพื้นที่ กทม. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมประมงวางแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยกัน 6 มาตรการ คือ 1.การจับและกำจัดออกจากแหล่งน้ำ 2.การปล่อยปลาผู้ล่าหรือปลาที่กินเนื้อ เช่น ปลากระพง 3.การร่วมกันนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ 4.การสำรวจและการกำหนดแนวกันชน 5.สร้างการมีส่วนร่วมทั้งในหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน และ 6.กรมประมงสำรวจและติดตามประเมินผล
นอกจากนี้ จะมีการผลิตปลาหมัน และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำในธรรมชาติ และเป็นหมันเพื่อลดจำนวนลงด้วย
ขณะที่ นายพานทอง ชิวค้า เกษตรกรในพื้นที่ เปิดเผยว่า ในพื้นที่เขตบางขุนเทียน มีพื้นที่ประมงกว่า 20,000 ไร่ มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกือบ 1,000 ราย ที่มีการเลี้ยงกุ้ง หอย ปลา และอื่นๆ แต่เมื่อปลาหมอคางดำระบาดเข้ามาทำให้ปลาพื้นถิ่นหายหมด เช่น ปลาหมอเทศ และปลากระบอก รวมถึงปลาในแหล่งน้ำสาธารณะก็สูญหายไปด้วย ทำให้ไม่เพียงเดือดร้อนแค่เกษตรกรแต่เดือดร้อนไปถึงระบบนิเวศทั้งหมดที่ได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เคยกำจัดปลาหมอคางดำออกจากบ่อเลี้ยงกุ้งและปูในพื้นที่ได้หมดแล้ว 100% แต่พอกำจัดหมดแล้ว ก็ยังมีการหลุดรอดเข้าไปจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และเข้าไปรุมกินลูกพันธุ์กุ้งที่เลี้ยงไว้ เริ่มตั้งแต่เมื่อปี2566 หากนับมูลค่าความเสียหาย โดยปกติแล้วบ่อกุ้ง 1 บ่อจะใช้เวลา 3 เดือนจะจับกุ้งขึ้นขาย 1 ครั้ง ได้เงินค่ากุ้งประมาณ 2-4 แสนบาท แต่เมื่อปลาหมอคางดำระบาดกลับเหลือมูลค่าเพียงหลักหมื่น หรือบางบ่อก็ขาดทุน จากที่เคยได้กุ้งขายกิโลกรัมละ 200 ถึง 400 บาท กลับได้ปลาหมอคางดำที่ทำได้เพียงขายทิ้งกิโลกรัมละ 5 บาท
สุดท้ายนี้ อยากให้ทางเจ้าหน้าที่เร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำสาธารณะ เพราะแม้เกษตรกรจะกำจัดออกจากบ่อเลี้ยงกุ้งได้แล้ว แต่ในแหล่งน้ำสาธารณะเกษตรกรไม่สามารถทำอะไรโดยพลการ เนื่องจากผิดกฎหมายของกรมประมงและไม่มีเครื่องมือ