
เป็นอีกเรื่องราววุ่น ๆ เกี่ยวกับ โครงการที่อยู่อาศัย ที่มีปัญหากับชุมชนที่อยู่โดยรอบ เมื่อผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องทุกข์ จากชาวบ้านในหมู่บ้านสรรพนาสนธิ์ซิตี้ ซ.โรงพยาบาลเปาโล ต.บางเมือง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ว่า นิติบุคคลของหมู่บ้าน ได้นำแบริเออร์ปูนขนาดใหญ่ มาปิดกั้นบริเวณป้อมยาม ภายในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านด้านใน ได้รับความเดือนร้อน ต้องอ้อมไปออกอีกซอย บางรายขับรถกลับบ้านมาตอนดึก ๆ เกือบชนกับแบริเออร์ดังกล่าว เนื่องจากจุดดังกล่าวมืด และไม่มีไฟส่องสว่าง
หลังได้รับแจ้ง ผู้สื่อข่าวจึงเข้าตรวจสอบพบว่า มีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองปากน้ำสมุทรปราการ กำลังใช้รถตักดิน ยกแบริเออร์ปูนออกจากถนนเปิดทาง ใกล้กันพบป้ายตั้งอยู่บนฟุตบาทระบุว่า เขตแนวรั้วกำแพง นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพนาสนธิ์ซิตี้
ห่างออกไปไม่ไกล ยังพบป้ายประกาศ 2 อัน ถูกติดอยู่ตรงเสาไฟฟ้าข้างกัน โดยระบุข้อความว่า ถนนเส้นทางนี้เป็นทางสาธารณประโยชน์ อยู่ในความรับผิดชอบของ เทศบาลเมืองปากน้ำสมุทรปราการ ห้ามมิให้ผู้ใดครอบครอง
ขณะที่อีกป้าย ระบุว่า แจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน ถนนเส้นนี้เป็นถนนส่วนหนึ่ง ของโครงการหมู่บ้านจัดสรรพนาสนธิ์ซิตี้ อยู่ในผังจัดสรรถูกต้องตามกฎหมาย อยู่ในความรับผิดชอบของ นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพนาสนธิ์ซิตี้ และนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพนาสนธิ์ซิตี้ ดำเนินการฟ้องร้องเทศบาลเมืองปากน้ำสมุทรปราการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้จัดสรรโครงการ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สมาชิกของหมู่บ้านที่อยู่ด้านใน
และที่บริเวณโรงเรียนประภามนตรี 2 ซึ่งชาวบ้านคาดว่า ทางนิติน่าจะนำแบริเออร์มาปิดอีกจุด พบป้าย ระบุว่าประกาศ ทางหมู่บ้านพนาสนธิ์ซิตี้ จะกำหนดจุดรักษาความปลอดภัย ตามเขตกำแพงของหมู่บ้าน เพื่อรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านพนาสนธิ์ซิตี้ จึงประกาศให้ทราบล่วงหน้าก่อน 180 วัน ก่อนดำเนินการ ประกาศ ณ วันที่ 10 พ.ค. 66 ถูกติดอยู่กับป้ายเขตแนวรั้วกำแพง นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรพนาสนธิ์ซิตี้
ระหว่างที่ ผู้สื่อข่าวกำลังถ่ายเก็บภาพบรรยากาศอยู่ ได้มีชาวบ้านท่านหนึ่งขับรถผ่านมา แล้วพูดบ่นถึงการที่นิตินำแบริเออร์มาตั้งว่า ตนอยู่ที่นี้ขับรถผ่านทางนี้มา 30 ปี เมื่อคืนตนกลับมาจากข้างนอก ขับรถมาก็เจอแบริเออร์ ตั้งอยู่หน้าป้อม ตนเบรกแทบไม่ทัน ตนก็อยากจะถามว่า เขาทำไปได้ยังไง เอาอะไรคิด ถึงได้เอาแบริเออร์มากั้นถนนแบบนี้ ถ้าตนเบรกไม่อยู่ หรือเบรกไม่ทันจะเป็นอย่างไร ใครจะไปมองเห็น ตรงนั้นเป็นทางโค้งด้วย และตรงที่เขาวางแบริเออร์ก็มืดไม่มีไฟด้วย
นางสุพรรณา (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้านใน เล่าว่า เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว ทางนิติส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจา ให้ชาวบ้านเซ็นสัญญา เอ็มโอเอ (MOU : Memorandum of Understanding หมายถึง “บันทึกความเข้าใจ” เป็นรูปแบบการจัดท า หนังสือที่แสดงความประสงค์ของบุคคลหรือนิติบุคคลสองฝ่ายหรือมากกว่านั้น ที่จะท าความร่วมมือกัน โดยเต็มใจ ที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุ) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพนาสนธิ์
โดยตัวสัญญาบ่งบอกว่า เป็นการมอบสิทธิ์และหน้าที่ให้กับทางนิติดูแล ซึ่งเขาก็ระบุว่า ตารางวาละ 6 บาท มีอายุสัญญา 3 ปี ถ้าไม่พอใจออกได้ แต่ในท้ายสัญญามีการระบุว่า ถ้าท่านจะออกต้องได้รับความเห็นชอบจากนิติ จากสมาชิกของนิติ ถึงจะมีสิทธิ์ออกได้
ซึ่งหลังจากที่เขามาทำตรงนี้ ทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่บ้าน ในโซนที่พวกตนอยู่ซึ่งเป็นโซนหลัง ทางนิติเขาทำแบบมีเลศนัย ตรงที่ว่าเขากำลังยื่นฟ้องต่อศาล ที่จะขอเรียกถนนนี้คืน จากสาธารณะมาเป็นของนิติ โดยเรียกคืนจากเทศบาล
โดยเขาเรียกคืนถนน ตั้งแต่ก่อนขึ้นสะพานข้ามคลองข้างโรงพยาบาลเปาโล จนมาถึงจุดที่เขาเอาแบริเออร์มาปิดถนน เพื่อที่เขาจะดูแลทั้งหมด ซึ่งมันทำไม่ได้ เนื่องจากในนี้มีทั้งโรงเรียน มีทั้งโรงพยาบาล การกั้นแบบนี้มันไม่ถูก ประชาชนเดือดร้อน ดังนั้นลูกบ้านจึงแบ่งเป็น 2 ส่วน ที่เข้าร่วมกับนิติ และไม่เข้าร่วมกับนิติ หรืออีกกลุ่มนึงก็คือชั่งใจอยู่ในการพิจารณา
ต่อมาพวกตนได้พิจารณาและดูสัญญา เอ็มโอเอ ของเขา โดยเอาไปให้ท่านที่มีความรู้ด้านกฎหมายด้านสัญญา ท่านได้บอกว่าแบบนี้เป็นสัญญาลักษณะไม่โอเคนะ อย่างเข้าร่วม อ่านให้ดีก่อนเซ็น ตนก็เลยยังพิจารณาเขาอยู่ เราก็ตามดูเขาอยู่ว่าเขาจะทำอะไรอีก จนกระทั่งเขาเอาแบริเออร์มากั้นแบบนี้ ทำให้ลูกบ้านด้านในเดือดร้อน โดยเขาเอาแบริเออร์มากั้นตั้งแต่เมื่อคืนประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง
และเมื่อเช้าก็เอาของมาเพิ่ม เป็นพวกอิฐ และแท่งเหล็ก คล้ายจะก่อกำแพง เคยมีเจ้าหน้าที่เขาโทรมาเกลี้ยกล่อมกับตน ตนก็เลยตอบกลับไปว่า คุยกันได้นะถ้านิติน่ารักกว่านี้ ไม่มากรรโชก ไม่มาแสดงกิริยาไม่ดีกับลูกบ้าน ทุกคนยินยอม แต่ไม่ใช่ทำกันแบบนี้ มันไม่โอเค มันไม่มีความยุติธรรมกับลูกบ้าน แล้วถนนก็เป็นถนนสาธารณะ มากั้นแบบนี้ไม่ถูกอยู่แล้ว ดังนั้นควรที่จะมีอะไรที่ดีกว่านี้
นายสุภณัฏฐ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี ขณะที่ผู้ที่พักอาศัยอยู่ด้านในอีกราย เล่าว่า เมื่อคืนตอนประมาณตี 1 มีคนเอาแบริเออร์มาปิดกั้น ทางเข้าออกของถนนสาธารณะ ในหมู่บ้านพนาสนธิ์ซิตี้ คือถนนเส้นนี้ตั้งแต่ปากซอย มาจนถึงหมู่บ้านด้านในซอย เป็นถนนสาธารณะ ทางนิติบุคคลพนาสนธิ์ซิตี้ เขาได้ทำการเรียกร้องสิทธิ เอาถนนสาธารณะคืน ถนนสาธารณเส้นนี้ตนใช้มา 28 ปีแล้ว ก่อนที่นิติบุคคลจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ เราก็ใช้เป็นทางสัญจรมาโดยตลอด และร่วมกันใช้มา ไม่ว่าจะอยู่ในโครงการจัดสรรหรือไม่ก็ตาม ก็ใช้ร่วมกันมา แล้ว 28 ปีที่ผ่านมา ก็เกิดโครงการด้านในเยอะแยะ มีทั้งโรงเรียน ทั้งโรงพยาบาล และมีหมู่บ้านเกิดต่อไปอีก ทุก ๆ ที่ที่ไปเช็กแล้วถนนเป็นทางสาธารณะ เขาก็สามารถขยายโครงการไปได้ไม่เป็นอะไร อยู่มาวันนึกนิติบุคคลมาปิดทาง เพื่อจะเอาเป็นทางของตนเอง ไม่ให้คนอื่นผ่าน โดยไม่สนใจว่า ชาวบ้านเข้าออกกันมาเป็นปกติเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทางเราก็มีการติดต่อกับทางเทศบาลอยู่ว่า ถนนเป็นทางสาธารณะ เขาจะมาครอบครองได้ยังไง เทศบาลก็ได้ออกมาปกป้องทางสาธารณะ มีป้ายมาติด ทางนิติน่าจะเกิดเคือง นำแบริเออร์มาปิดดังกล่าว เขาเอามาปิดตอนดึกยามวิกาล คือไม่มีใครรู้เลย ตื่นเช้ามาก็เจอมันกั้นอยู่แล้ว
"ตรงนี้เป็นทางเข้าออกหลักของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเส้นเมน ซึ่งเป็นถนนที่โอนให้เป็นถนนสาธารณะตั้งแต่ปี 38 ประชาชนใช้เป็นทางสาธารณะมานานมากแล้ว ส่วนนิติพึ่งมาเกิดเมื่อปี 52 มีการแยกกันเป็น 2 นิติ ก่อนจะร่วมกันเมื่อปี 55 ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีปัญหากับเพื่อนบ้านในโซนนิติบุคคล เพื่อนบ้านก็ยังรักใคร่กันดี เพียงแต่ว่ามันมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่มาในแนวทางของนิติบุคคล มาปิดเส้นทาง
ตนก็อยากจะฝากถามผ่านสื่อว่า เหตุใดจึงมาปิดถนน ในส่วนของพวกตนได้รับความเดือนร้อน ไม่มีทางเข้าออก ถึงแม้จะมีอีกเส้นทางหนึ่ง แต่เป็นทางที่อ้อม แต่ทางนี้เป็นเส้นทางที่คนในหมู่บ้านด้านในใช้เป็นทางประจำกัน เนื่องจากเรื่องฟ้องร้องอยู่ในชั้นศาล ทางนิติเขาก็มีติดป้ายประกาศแจ้งล่วงหน้าว่า เขาจะปิดกั้นภายใน 180 วัน
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง 180 วัน เลย พึ่งจะ 4 เดือนเอง เขาก็มาปิดและ โฉนดทุกแปลงตรงนี้เป็นทางสาธารณะอยู่ ทางนิติยังไม่ได้ถนนไป เขาปิดไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะอ้างสิทธิ์กำแพงที่เคยมีอยู่ แต่ในข้อเท็จจริงจากผู้ที่มาอยู่ก่อน หรือผู้ที่ก่อสร้างว่า มันไม่เคยมีกำแพงอยู่เลย มันมีอยู่แต่ในแบบ ตอนตนเข้ามาอยู่ก็มีการเข้าออกตรงนี้อยู่แล้วนิติยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน