
13 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์รายงานว่า ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านพิมาน ม.5 ต.แก อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้พบกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ทั้งหญิงชายวัยรุ่นและผู้เฒ่าผู้แก่ กำลังนั่งทำบั้งไฟเล็กๆ ขนาดต่าง ๆ โดยมีดินประสิว กระดาษทิชชู่ กาบกล้วยแห้ง และอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่รายล้อม
สอบถามนางนิยมวัน อายุ 52 ปี ทราบว่า ตนใช้เวลาว่างมารับจ้างการม้วนบั้งไฟเล็ก ๆ ใช้เวลาว่างก่อนและหลังฤดูทำนาประกอบอาชีพนี้มานานหลายปีแล้ว รายได้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟซึ่งจะได้รับค่าจ้างในราคาที่ต่างกัน ส่วนรายได้ก็ขึ้นอยู่กับความขยัน แต่เฉลี่ยแล้ววันละ 500-800 บาท
ขณะที่นางอมรพันธ์ อายุ 32 ปี กล่าวว่า ตนเป็นคน จ.กำแพงเพชร มาเป็นลูกสะใภ้ ในหมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนนั้นทำงานกับสามีที่ กทม. แต่ช่วงเกิดปัญหาโควิดระบาด จึงได้กลับมาอยู่บ้านกับสามี เห็นว่าที่บ้านมีการผลิตบั้งไฟและก็สร้างรายได้อย่างดีมาก จึงยึดอาชีพนี้อยู่กับสามีตลอดมา
ด้าน นายจำลอง อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ได้พาผู้สื่อข่าวเดินชมการผลิตบั้งไฟของชาวบ้านแต่ละหลังคา ว่าชาวบ้านพิมาน แทบทุกหลังคาเรือน ประกอบอาชีพเสริม โดยการผลิตบั้งไฟเล็กขนาดต่าง ๆ ส่งขายและนำไปขายตามงานประเพณีบุญบั้งไฟที่จัดขึ้นทั่วประเทศไทย ทำให้คนทั้งหมู่บ้านมีรายได้ มีอยู่มีกินกับการขายบั้งไฟ เฉลี่ยครัวเรือนละ 1 แสนบาทต่อเดือน
การผลิตบั้งไฟ จะใช้อุปกรณ์ ดินประสิว ถ่านไม้ตำให้ละเอียดแล้วนำมาคลุกเคล้ากันและผสมกับกำมะถันส่วนหนึ่งก่อนนำไปตากแดด แล้วนำมาบรรจุลงกระบอก หากเป็นบั้งท่อวีพีซี ก็จะต้องเตรียมดินเหนียวมาตากแดดให้แห้ง
อย่างไรก็ตาม นายจำลอง ยังกล่าวอีกว่า ที่ชาวบ้านมีอาชีพจากการผลิตบั้งไฟเล็กขนาดต่างๆ ขายสร้างรายได้ ตนได้แรงบันดาลใจจากคุณพ่อ ที่ท่านได้ทำบั้งไฟเล็ก ๆ จากกาบกล้วยแล้วไปนั่งขายตามงานบุญบั้งไฟ เห็นว่ามีรายได้ดีมาก จากนั้นจึงหันมาทำเป็นครอบครัว จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่งประเทศ ก่อนที่ทางจังหวัดจะเข้ามาสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 3 หมื่นบาท ให้คนทั้งหมู่บ้านที่สนใจมาทำเป็นสินค้าโอทอปบั้งไฟเล็ก จนปัจจุบันก็ทำกันแทบทุกหลังคาเรือน
โดยบั้งไฟจะมีขนาดต่าง ๆ เช่นบั้งไฟโบก จะใช้กาบกล้วยพันดินประสิว ขายในราคา ตัวละ 5-7 บาท บั้งไฟอีรวย เป็นบั้งไฟที่ใช้กาบกล้วยพันหางทำจากก้านมะพร้าว ก็ตัวละ 1 บาท ส่วนบั้งไฟที่ทำจากท่อพีวีซีก็จะมีขนาดเล็กใหญ่ ราคาก็ตามขนาด ตั้งแต่ 5-200 บาท