
29 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเลือกตั้ง2569 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ดุเดือดขึ้นทุกขณะ
ล่าสุดมีการจับกุมดำเนินคดี นายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 พรรคประชาชน (ปชน.) ในความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธข้อกล่าวหา และลาออกจากสมาชิกพรรคประชาชนทันที ต่อมา นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อดีต สส.กทม.พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า จะลงสมัครแทนนั้น
ล่าสุด ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ในฐานะอาจารย์จากภาควิชาการบริหารและจัดการเมือง วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ตั้งข้อสังเกตกรณีการ “เปลี่ยนตัว” ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ผู้สมัคร สส.) ภายหลังการรับสมัครและจัดสรรหมายเลขผู้สมัครโดย กกต. ของพรรคประชาชน หลังพบมีปัญหาโดนดำเนินคดีฟอกเงิน อาจโยงทุนเทา
อาจารย์เชษฐา มองว่า พรรคประชาชนกำลัง “ใช้สิทธิเกินกว่าที่กฎหมายให้ไว้“ และเตือน กกต.ว่า อาจเดือดร้อนถ้าพิจารณาเรื่องนี้อย่างไม่รอบคอบ และไม่ยึดตามกฎหมายอย่างเคร่งรัด โดยสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
1. สถานะทางกฎหมายของการเป็น “ผู้สมัคร” ภายหลังการรับรองโดย กกต.
ภายใต้หลักกฎหมายเลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ดำเนินการรับสมัคร ตรวจสอบเอกสาร และออกหนังสือรับรองการเป็นผู้สมัคร รวมถึงจัดให้มีการจับสลากหมายเลขผู้สมัครแล้ว เมื่อกระบวนการดังกล่าวเสร็จสิ้นลง สถานะของบุคคลนั้นย่อมเป็น “ผู้สมัครโดยชอบด้วยกฎหมาย” อย่างสมบูรณ์
ในกรณีของผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 พรรคประชาชน ซึ่ง กกต. ได้รับสมัครและจัดสรรหมายเลขผู้สมัครไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 การสมัครย่อมถือว่าเสร็จสิ้นตามขั้นตอนทางกฎหมายแล้ว การเปลี่ยนแปลงสถานะผู้สมัครภายหลังจากนั้น จึงไม่อาจกระทำได้โดยง่าย เว้นแต่จะมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง
2. หลัก “หนึ่งพรรคหนึ่งผู้สมัครต่อหนึ่งเขต” กับข้อจำกัดทางกฎหมาย
กฎหมายเลือกตั้งกำหนดหลักการสำคัญว่า พรรคการเมืองสามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตได้เพียงหนึ่งคนต่อหนึ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น หลักการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความเสมอภาคของการแข่งขันทางการเมือง และป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
เมื่อพรรคประชาชน ได้ใช้สิทธิส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งดังกล่าวไปแล้ว และ กกต. ได้รับรองการสมัครอย่างเป็นทางการ สิทธิในการส่งผู้สมัครของพรรคในเขตนั้นย่อมสิ้นสุดลง การจะส่งบุคคลอื่นเข้ามาแทนที่ จึงเท่ากับเป็นการใช้สิทธิเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งอาจขัดต่อหลักความชอบด้วยกฎหมาย
3. ประเด็นการถอนตัวของผู้สมัครกับอำนาจของ กกต.
ในทางปฏิบัติ กฎหมายเลือกตั้งไม่ได้เปิดช่องให้ผู้สมัครสามารถถอนตัวได้อย่างเสรี ภายหลังจากที่ กกต. รับรองการสมัครและจัดสรรหมายเลขแล้ว ยกเว้นในกรณีที่ศาลหรือ กกต. มีคำวินิจฉัยว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ซึ่งเป็นกระบวนการ “ตัดสิทธิ” ไม่ใช่การ “เปลี่ยนตัว”
หาก กกต. จะอนุญาตให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครรายใหม่เข้ามาแทนที่ผู้สมัครเดิม จึงต้องมีฐานอำนาจทางกฎหมายที่ชัดเจน มิฉะนั้นการกระทำดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ หรือโต้แย้งในทางกฎหมายภายหลัง
4. หลักรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม และเสมอภาค
รัฐธรรมนูญกำหนดหลักการพื้นฐานของการเลือกตั้งไว้ชัดเจนว่า ต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม เสมอภาค และเป็นธรรมต่อผู้สมัครและพรรคการเมืองทุกฝ่าย หาก กกต. อนุญาตให้พรรคการเมืองหนึ่งสามารถเปลี่ยนตัวผู้สมัครได้ ภายหลังจากที่กระบวนการรับสมัครเสร็จสิ้นแล้ว ขณะที่พรรคการเมืองอื่นไม่สามารถกระทำได้ในลักษณะเดียวกัน ย่อมอาจถูกตีความว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นการเอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงกระทบต่อความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอีกด้วย
5. ผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นต่อกระบวนการเลือกตั้ง
หากมีการอนุญาตให้ “เปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส.” โดยปราศจากฐานกฎหมายที่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดปัญหาการตีความในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมของผู้สมัครรายใหม่ ความถูกต้องของการรับสมัคร หรือแม้กระทั่งความสมบูรณ์ของการเลือกตั้งในเขตดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การร้องเรียน การฟ้องคดีเลือกตั้ง หรือการขอให้ศาลวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะในอนาคต
6. ข้อสังเกตเชิงเปรียบเทียบกับกรณีทั่วไปในทางปฏิบัติ
โดยปกติ หากผู้สมัครขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตั้งแต่ต้น และ กกต. ยังไม่ได้รับสมัครหรือรับรอง พรรคการเมืองย่อมสามารถเปลี่ยนตัวผู้สมัครได้ภายในระยะเวลาที่เปิดรับสมัคร แต่ในกรณีที่ กกต. ได้รับสมัครและออกหนังสือรับรองแล้ว ย่อมเป็นอีกสถานะหนึ่งที่กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้เปลี่ยนตัวได้โดยง่าย
กรณีนี้จึงถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในทางปฏิบัติของการเลือกตั้งไทย และยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ กกต. จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการตัดสินใจ เพื่อไม่ให้การดำเนินการใดๆ ขัดต่อหลักกฎหมายเลือกตั้งและหลักรัฐธรรมนูญ
7. บทสรุปเชิงกฎหมาย
จากการวิเคราะห์ข้างต้น เห็นได้ว่า การเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. ภายหลังจากที่ กกต. ได้รับสมัครและจัดสรรหมายเลขผู้สมัครไปแล้ว มีข้อจำกัดทางกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ และไม่ปรากฏฐานอำนาจทางกฎหมายที่รองรับอย่างชัดเจน การดำเนินการดังกล่าวจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตีความว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอาจกระทบต่อความชอบธรรมของกระบวนการเลือกตั้งโดยรวม