
29 ธันวาคม 2568 เมื่อช่วงเช้า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้ปล่อยแถวกำลังพลเปิดปฏิบัติการ Black Mirror TKP ตรวจค้นและทลายเครือข่ายค้ายาเสพติด 22 เป้าหมาย 7 หมายจับ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.ลพบุรี และ จ.ตรัง
โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและชุดปฏิบัติการพิเศษสยบไพรี รวมจำนวนกว่า 120 นาย ปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดชุดใหญ่ ส่งท้ายปีเก่า 2568 ต้อนรับปีใหม่ 2569
โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานให้โอวาทและปล่อยแถวกำลังพล
โดย 1 ในจุดที่เข้าค้น คือบริเวณบ้านหรูหลังหนึ่งซึ่งอยู่ในพื้นที่แขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชัน ซึ่งจุดดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 2 ราย เป็นสามีชาวไทยและภรรยาชาวลาว พร้อมของกลางเป็นรถยนต์หรู 2 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คัน เงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท อาวุธปืนสั้น 11 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง อาวุธปืนยาว 5 กระบอก และตุ๊กตาหรู 3 ตัว
ด้าน พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.ตร.) ซึ่งได้เดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
โดย พล.ต.อ.สำราญ เปิดเผยถึงปฏิบัติการดังกล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา กองกำลังสุรศักดิ์มนตรีสามารถจับกุมขบวนการลักลอบขนยาเสพติดชาวลาวได้ จึงได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลพบว่า ขบวนการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาเสพติดอีกกว่า 7 คดี ขณะเดียวกันยังพบว่า ขบวนการดังกล่าวได้เปิดบริษัทเครือ TKP ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจขนส่ง จำนวน 4 บริษัท
แต่ละบริษัทมีกรรมการจดทะเบียนในลักษณะของไขว้กัน ซึ่งแทบไม่ได้ทำกิจกรรมธุรกิจตามที่ได้จดทะเบียนเอาไว้เลย แต่พบว่าทั้ง 4 บริษัทมีเงินสะพัดหมุนเวียนกว่า 2 หมื่นล้านบาทใน 50 บัญชีบริษัท บางบัญชีมีเงินหมุนเวียนสูงสุดถึง 20 ล้านบาท โดยเงินที่หมุนเวียนนั้น พบว่าเป็นเงินที่เชื่อมโยงมาจากขบวนการค้ายาเสพติดและนำมาฟอกเงินอีกที
จึงเป็นเหตุทำให้ตำรวจปราบปรามยาเสพติดดำเนินการสืบสวนสอบสวนและเปิดปฏิบัติการทลายขบวนการยาเสพติดเครือข่ายดังกล่าว 22 จุดใน 5 จังหวัด โดยมีผู้ต้องหาจำนวน 7 หมายจับในข้อหาเกี่ยวกับฟอกเงินและยาเสพติด
ซึ่งในจุดบ้านพักย่านแขวงบางเชือกหนัง เขตตลิ่งชันนี้ พบว่าผู้ต้องหาสามีภรรยาคู่นี้เป็นกรรมการบริษัท ให้การยอมรับว่ารับจดทะเบียนเปิดบริษัท แต่ไม่สามารถให้การเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทได้ เพราะไม่ได้ดำเนินธุรกิจเลย
ขณะเดียวกันยังพบว่า หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ เป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตในย่านฝั่งธนบุรี เขต 33 เขตบางพลัดและบางกอกน้อย ยกเว้นแขวงศิริราช สังกัดพรรคการเมืองชื่อดังพรรคหนึ่ง
ซึ่งทางตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกจนพบว่า มีพยานหลักฐานทั้งเรื่องของเส้นทางการเงินที่รับเงินจากเครือข่ายดังกล่าวเป็นรายเดือนและผู้ต้องหาสามีภรรยายอมรับว่า ให้เงินกับนักการเมืองรายนี้
จึงนำมาสู่การเสนอหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับ โดยตอนนี้ทางตำรวจปราบปรามยาเสพติดสามารถจับกุมผู้สมัคร สส. รายดังกล่าวได้แล้วและกำลังนำตัวเข้ากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
พล.ต.อ.สำราญ ยังระบุอีกว่า ตอนนี้ทั้ง 22 จุดนั้น บางจุดอยู่ในระหว่างการเข้าตรวจค้นและรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดครบวงจรทุกมิติตามนโยบายของรัฐบาลและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ต้องดำเนินการตั้งแต่จับกุมตัดตอนการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในพื้นที่เมือง ไปจนถึงสกัดกั้นขบวนการฟอกเงินจากเครือข่ายยาเสพติด โดยในคดีนี้จะดำเนินการประสาน ปปง. เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินและดำเนินคดีในเรื่องฟอกเงินต่อไป
โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผบ.ตร.ได้กำชับตำรวจทุกด่านตรวจสกัด พร้อมคอยดูแลอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ยังต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้ายาเสพติด โดยห้ามไม่ให้มีการนำเข้ามาในพื้นที่เมืองเป็นอันขาด เพื่อเป็นการตัดตอนยาเสพติดที่จะเข้ามาในพื้นที่เมืองและลดจำนวนผู้เสพลง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : "แบงค์ บุญฤทธิ์" ผู้สมัครสส. กทม.ค่ายส้ม ยืนยันไม่มีเอี่ยวข้อกล่าวหา "ขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์"
รู้จัก "บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์" ว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาชน
"ปชน." เปลี่ยนตัว ผู้สมัคร สส.กทม. กราบขอโทษ-ยอมรับถูกออกหมายจับฟอกเงิน