16 พฤศจิกายน 2565 ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการการต่างประเทศและอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไม่อยากเห็นการด้อยค่าผู้นำเขตเศรษฐกิจในเวทีเอเปค และปิดโอกาสทองของไทย
ดังนั้นในฐานะกรรมาธิการการต่างประเทศมีความเป็นห่วงว่า เวทีระดับโลกที่ปรากฏชื่อประเทศไทยบนแผนที่โลกครั้งนี้ จะถูกทำลายเพียงคนไม่กี่คนนั้นย่อมมิได้ จึงอยากให้รัฐบาลทำความเข้าใจคนเหล่านั้นก่อนเวทีสุดยอดผู้นำจะเริ่ม
ดร.มัลลิกา กล่าวว่า รัฐมนตรีเอเปคของไทยคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนผู้นำประเทศไทยคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับชาติอื่นนั้น บทบาทของรัฐมนตรีเอเปคสองคนคือนายจุรินทร์ และนายดอน จะต้องทำหน้าที่จัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 จากนั้นผู้นำจะประชุมกันวันที่ 18 และ 19 พฤศจิกายน 2565 โดยสาระสำคัญของภารกิจวันที่ 17 คือ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นายจุรินทร์ จะเป็นประธานร่วมกับรองนายกฯ นายดอน
“ซึ่งจะนำประชุมในประเด็น เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล ซึ่งเป็น Theme ของการประชุม โดยจะนำไปสู่แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีเอเปคหรือประธานก่อนที่ผู้นำจะมีการประชุมกัน โดยหน้าที่ตรงนี้ทั้ง 2 คนจะเป็นผู้กุมบังเหียนการหารือ เจรจา หาข้อยุติ ตกลง ร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และมุ่งสู่เป้าหมายขยายการค้าขายระหว่างกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะรองรับสถานการณ์หลังโควิด-19
ซึ่งสาระตรงนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและศักยภาพรวมทั้งการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทย และไม่ให้เสียเปรียบชาติใดในเวทีโลกโดยเปิดโอกาสให้ประเทศและประชาชนเชื่อมโลกผ่าน 21 เขตเศรษฐกิจนี้
โดยข้อมูลการค้าระหว่างไทยกับเอเปคในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีมูลค่าการค้ารวม 315,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.31 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 69 ของการค้ารวมทั้งหมดของประเทศไทย โอกาสของประเทศไทยจะมีโอกาสของตลาดการค้าโดยประชากรรวมกัน 21 เขตเศรษฐกิจนี้คือ 2,900 ล้านคน หรือร้อยละ 38 ของประชากรโลก
ที่สำคัญประเทศไทยก็ขยายการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศจากตลาดเหล่านี้มาเป็นจำนวนมากและเป็นที่ชื่นชมของประชาชน และผู้ประกอบการเนื่องจากรายได้จากการส่งออกกลายเป็นขาหลักในการช่วยประเทศชาติไว้ในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องนี้รองนายกรัฐมนตรีจุรินทร์ ได้คอยแถลงข่าวทุกเดือนเกี่ยวกับผลความสำเร็จด้านการค้าและการส่งออกประเทศเราได้รับความชื่นชมและการตอบรับจากทั่วโลกเป็นอย่างดี
"ส่วนจีดีพีของเขตเศรษฐกิจเอเปคมีรวมกันทั้งสิ้น 52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,900 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62 ของจีดีพีโลก และเมื่อเรานำประเทศมาอยู่ในจุดนี้ที่ประชาคมโลกเขาหารือเจรจากันนี่คือเวทีที่จะนำประเทศเปิดตลาดการค้าเพื่อนำรายได้เข้ามาดูแลประชาชนภายในประเทศและเป็นโอกาสของทั้งคนตัวเล็กตัวน้อยโดยเฉพาะเป้าหมายของการประชุมครั้งนี้คือการเพื่อโอกาสให้ไปถึงระดับฐานราก กลุ่มเปราะบางทุกเพศทุกวัยและถ้าเป็นผู้ประกอบการก็ตั้งแต่ระดับ เอ็มเอสเอ็มอี และ เอสเอ็มอี (MSME -SME ) ขึ้นไป นี่จึงเป็นโอกาสของประชาชน " ดร.มัลลิกา กล่าว