
29 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(28 ต.ค.) สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดจัดเวทีสาธารณะ”หลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตร RoLD Program (Rule of Law and Development Program) และที่ปรึกษาสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง แนวคิดระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยระบุว่า ได้มีโอกาสรับฟังแนวคิดนี้ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อปี 2018 ผ่านเครื่องมือของนักออกแบบมาปรับใช้กับระบบยุติธรรม ในชื่อว่า D School (Institue of Design at Stanford) และยังพบว่าแนวคิดนี้ ถูกนำไปขยายผลต่อใน Law School ของสแตนฟอร์ด มาทำสิ่งที่เรียกว่า Legal Design Lab ซึ่งทำให้เราเห็นได้ว่า เรื่องการปฏิรูประบบยุติธรรม กับวิธีคิดแบบ Design Thinking สามารถที่จะทำไปด้วยกันได้ ซึ่งแม้ว่า ในประเทศไทยจะได้นำแนวคิดนี้มาใช้อยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เราต้องนำมาปรับใช้
“จริงๆแล้ว คำว่า ระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่คำใหม่ เพราะในอดีตก็มีความพยายามนำแนวคิดนี้มาปรับใช้เช่นกัน เช่น ความพยายามทำให้ประชาชนมีสิทธิมากขึ้น จนกลายมาเป็นหน่วยงานอย่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือแม้แต่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ก็มีแนวคิดนี้เป็นแกนหลักของแผน เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีที่มาจากความต้องการของประชาชนเช่นกัน”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ย้ำถึงคำว่า Access to Justice โดยระบุว่า ต้องไม่ใช่แค่หมายถึง “การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม” เท่านั้น แต่ต้องตีความให้เป็นคำว่า “การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม” เพราะเมื่อตีความเช่นนี้ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะมีมุมมองต่อประชาชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนไปเป็น “ผู้เข้ารับบริการ” เพราะในความเป็นจริง แม้แต่ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมต่างๆก็อาจไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นเราจึงต้องปรับแนวคิดให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ทำอย่างไรให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบยุติธรรมได้เท่าเทียม
“ไทยมีการนำแนวคิด ระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางมาใช้บ้างแล้วก็จริง แต่สิ่งที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนี้ คือ กระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มาอย่างรวดเร็วผ่านโซเชี่ยล มีเดีย ซึ่งสามารถมองเป็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สามารถทำให้เกิดเครื่องมือใหม่ๆ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ และเป็นจุดพลิกจากสิ่งที่เป็นนามธรรมให้กระบวนการยุติธรรมจะทำให้ประชาชนถูกมองเป็น “ผู้เข้ารับบริการได้” อย่างเป็นรูปธรรม”
ดังนั้นหากต้องการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แนวคิด “ระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” เกิดขึ้นได้จริง เราก็ต้องอาศัยฐานที่มาจากเครือข่ายของสังคม ซึ่งเราได้นำผู้บริหารระดับสูงจากหลายภาคส่วนมาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันอยู่แล้ว ผ่านหลักสูตร RoLD และมีบางตัวอย่างที่สามารถนำ “นวัตกรรมเพื่อความยุติธรรม” มาเริ่มใช้ได้จริง โดยมีตัวอย่างที่สำคัญ คือ MySis Chatbot ที่ได้พัฒนามาเป็นช่องทางรับแจ้งเหตุความรุนแรงในครอบครัว ให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบปัญหาของผู้ถูกกระทำรุนแรงโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของผู้แจ้ง เพราะไม่ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กล่าวสรุปให้เห็นว่า ถ้าสามารถค้นหา “ความต้องการความยุติธรรมของประชาชน” ด้วยการทำ “Justice needs survey” ออกมาได้ เราก็จะสามารถคลี่คลายประเด็นออกมาเป็นกระบวนการยุติธรรมที่มอง “ประชาชนเป็นผู้รับบริการ” ได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นในการขับเคลื่อนให้เกิดระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางได้จริงต้องตอบคำถาม 4 ข้อ คือ
1. ต้องทำอะไร ... ซึ่งต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ทำไปแล้วแต่ไม่ได้ผผลด้วย เช่น ค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ยังมีราคาแพง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ,การทำงานแบบไม่บูรณาการของหน่วยงานในระบบ ทั้งไม่บูรณาการตัวเอง ไม่บูรณาการกับหน่วยงานอื่น และไม่บูรณาการกับชุมชน หรือแม้แต่การฟื้นฟูกลุ่มผู้ก้าวพลาดก็ยังทำเฉพาะในเรือนจำ จึงต้องมองหา “จุดเปลี่ยน” เช่น การบริการความยุติธรรมในชุมชน สัญญาและเอกสารทางกฎหมายี่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน แพลตฟอร์มการบรรเทาข้อพิพาทแบบเบ็ดเสร็จ หรือ แอปพลิเคชันที่ป้องกันความรุนแรง การลักทรัพย์ หรือฉ้อโกง
2. จะขยายผลสิ่งที่ดีอย่างไร ... เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องคิดว่า เมื่อมีแนวคิดหรือแนวทางที่ดีเกิดขึ้นแล้วจะถูกนำไปใช้อย่างไร ต้องตั้งคำถามไปยังหน่วยงานในระบบยุติธรรมด้วยว่า ทำไมไม่นำแนวคิดที่ถูกค้นพบขึ้นมาไปใช้ต่อยอดอย่างจริงจัง
3. จะติดตามและวัดผลความสำเร็จอย่างไร ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจความต้องการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชน (Justice needs Survey) โดยต้องคำนึงถึงการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม และนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
4. จะสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างไรให้เหมาะสม สามารถสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวเปิดเวทีสาธารณะว่าด้วยหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 13 โดยระบุว่า หัวข้อ “กระบวนการยุติธรรมที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่ออนาคตแห่งความยุติธรรมที่ยั่งยืน” เป็นหัวข้อที่มีนัยยะสำคัญในด้านกรอบความคิด เพราะการที่เราพยายามสื่อสารเรื่องหลักนิติธรรมเชื่อมโยงไปกับเรื่องการพัฒนา ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่สื่อสารไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อประชาชนไม่เชื่อว่ากฎหมายมีความเท่าเทียม กฎหมายสามารถบังคับใช้กับคนบางกลุ่มเท่านั้น ก็จะไม่รู้สึกว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งก็คือภาพสะท้อนว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่ขาดหลักนิติธรรม
หัวข้อนี้ยังมีผลต่อวิธีการทำงานของ TIJ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิชาการ เพื่อหาแนวทางทำงาน เช่น เรื่องการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด ซึ่ง TIJ ทำงานมาในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และพบว่าสังคมเปิดใจยอมรับกลุ่มผู้ก่าวพลาดมากขึ้นพอสมควร แต่เราก็ยังต้องใช้องค์ความรู้ ใช้ข้อมูล และนำเสนอโดยอ้างอิงกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และเราต้องตระหนักว่า ทุกคนก็มีส่วนร่วมแก้ปัญหาได้ จึงชวนหลายภาคส่วนมาเป็นเครือข่าย ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้น เวทีสาธารณะ RoLD Public Forum หัวข้อกระบวนการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่ออนาคตแห่งความยุติธรรมที่ยั่งยืน จะเป็นเวทีนำเสนอผลงาน ซึ่งผู้เข้าร่วมหลักสูตรได้นำข้อค้นพบมานำเสนอ ทั้งเรื่องการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันอาชญากรรมในชุมชน Smart Safety Zone ,การให้โอกาสผู้ก้าวพลาดด้วยการรับฟังความต้องการของเขาจริงๆ และการสร้างห้องทดลองนวัตกรรมเชิงนโยบายในการจัดการขยะของกรุงเทพมหานคร ก็จะสะท้อนให้เห็นแนวคิด “ระบบยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ด้วยการมองปัญหาความยุติธรรมผ่านมุมมองที่มาจากสายตาของประชาชนมากกว่าการออกแบบโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ