26 ตุลาคม 2565 จากกรณีกรุงเทพมหานครได้เสนอญัตติ ต่อสภากรุงเทพมหานคร ในการประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2565 ในวันนี้ (26 ต.ค.) ญัตติสำคัญ ประกอบด้วยเรื่องดังนี้
นายไสว โชติกะสุภา ในฐานะประธานคณะกรรมการการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวก่อนการประชุมสภาถึงญัตติ ดังกล่าวว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เสนอขอรับฟังความเห็นจากสภากรุงเทพมหานคร เรื่อง แนวทางการเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต และช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ และเรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น
จากการประชุมของคณะกรรมการการจราจรและขนส่ง เมื่อวานนี้(25 ต.ค.) ที่ประชุมมีมติพิจารณาไม่เห็นชอบในการชดเชยงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เนื่องจากการดำเนินการก่อสร้างสายสีเขียวในช่วงส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้ใช้งบประมาณของกทม.ตั้งแต่แรก อีกทั้งยังติดปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย ทำให้สภากทม.ไม่สามารถพิจารณาเห็นชอบทั้ง 2 ประเด็นตามที่ กทม.เสนอได้
โดยจะรายงานความคิดเห็นของคณะกรรมการการจราจรและขนส่งต่อประธานสภากทม. เพื่อพิจารณาขอความคิดเห็นเพิ่มเติม และเสนอต่อผู้ว่าฯกทม.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนการจัดเก็บค่าโดยสารในส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-คูคต ในอัตราค่าโดยสาร 15 บาท เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯกทม.ที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากสภากทม.
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ความคืบหน้ารถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่นำเรื่องเสนอต่อสภากรุงเทพมหานครในวันนี้( 26 ต.ค.) เบื้องต้นที่ประชุมสภากทม.มีญัตติให้ถอนวาระและไม่พิจารณาเรื่องดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วน โดยให้ความเห็นว่าควรให้คณะกรรมาธิการวิสามัญด้านการจราจรและขนส่ง เสนอรายงานต่อสภากทม.รับทราบก่อน
“ทั้งนี้ในที่ประชุมสภากทม.หลายท่านให้ความเห็นว่าไม่ใช่อำนาจของกทม.ที่เป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการตามมาตรา 44 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งเราจะต้องนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาอีกครั้ง”
ส่วนกรณีที่สภากทม.ไม่เห็นชอบการใช้เงินงบประมาณชดเชยและการจัดเก็บค่าโดยสารในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น มองว่าเป็นเพียงการเสนอเพื่อให้สภากทม.รับทราบ ซึ่งไม่ได้มีแค่เฉพาะการเก็บค่าโดยสาร แต่ยังมีเงินส่วนต่างในข้อสัญญาระหว่างบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) และเอกชน ส่งผลให้ค่าจ้างเดินรถมีส่วนต่างจากค่าโดยสารที่จัดเก็บ ซึ่งจะต้องเสนอสภากทม.เพื่อนำงบประมาณมาชำระด้วย
"ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะไม่ได้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการสัญญาตั้งแต่แรก ซึ่งกทม.จะต้องรับเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการต่อ เนื่องจากการบริหารและใช้จ่ายงบประมาณต้องเสนอให้สภากทม.รับทราบอยู่แล้ว"
ที่มาข้อมูล ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล