svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

เมียนมาเปิดคูหาเฟสแรก เลือกตั้งท่ามกลางสงครามกลางเมืองและเสียงวิจารณ์

เมียนมา เริ่มการเลือกตั้งระยะแรกในพื้นที่ควบคุมของทหาร ท่ามกลางการสู้รบที่ยังรุนแรง-เสียงประณามเป็นการเลือกตั้งจอมปลอม ขณะที่พรรคของกองทัพคาดกวาดชัยชนะถล่มทลาย

วันนี้ (28 ธันวาคม 2568) กองทัพ เมียนมา ภายใต้การนำของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้เปิดฉากการเลือกตั้งทั่วไปรอบแรกจากทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2564 โดยการลงคะแนนครั้งนี้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ที่กองทัพสามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น

แผนการเลือกตั้ง 3 ระยะ ประกอบด้วย

  • ระยะ 1 (28 ธ.ค. 2568): ครอบคลุม 102 เขต (Township) รวมถึงหัวเมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้ง, มัณฑะเลย์ และเนปิดอว์
  • ระยะ 2 (11 ม.ค. 2569): ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่ทหารยังพอควบคุมได้
  • ระยะ 3 (25 ม.ค. 2569): ระยะสุดท้ายก่อนสรุปผลช่วงสิ้นเดือนมกราคม

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งถูกยกเลิกไปในพื้นที่เกือบครึ่งประเทศที่ยังคงมีการสู้รบอย่างหนักกับกองกำลังชาติพันธุ์และฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

UN ประณาม "การเลือกตั้งจอมปลอม" (Sham Election)

องค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม เนื่องจากพรรค NLD ของนาง อองซาน ซูจี ถูกสั่งยุบและห้ามลงแข่งขัน ขณะที่ผู้นำพลเรือนส่วนใหญ่ยังคงถูกคุมขัง

นอกจากนี้ รัฐบาลทหารยังประกาศใช้กฎหมาย "ปกป้องการเลือกตั้ง" ที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตสำหรับผู้ที่วิจารณ์หรือขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้มีประชาชนถูกจับกุมแล้วกว่า 200 ราย เพียงเพราะการแสดงความเห็นบนโซเชียลมีเดีย

เมียนมาเปิดคูหาเฟสแรก เลือกตั้งท่ามกลางสงครามกลางเมืองและเสียงวิจารณ์

ความหวังหรือเพียงแค่ "อาวุธ" ทางการเมือง?

ขณะที่พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็นพรรคนอมินีของกองทัพ คาดว่าจะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายเนื่องจากไร้คู่แข่งสำคัญ รัฐบาลทหารอ้างว่านี่คือก้าวสำคัญสู่การคืนประชาธิปไตย แต่ทางฝั่งตะวันตกและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับมองว่า นี่เป็นเพียงความพยายามสร้างความชอบธรรมในการครองอำนาจต่อไปของกองทัพ ท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรมที่มีผู้พลัดถิ่นกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศ

ที่น่าสนใจคือ จีนและรัสเซียยังคงแสดงท่าทีสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยมองว่าเป็นหนทางสู่เสถียรภาพในภูมิภาค สวนทางกับท่าทีของสหรัฐฯ และยุโรปที่ปฏิเสธการส่งผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม