
21 ตุลาคม 2568 สื่อเกาหลีใต้ "จุงอัง เดลี" (JoongAng Daily) รายงานว่า กลุ่มอาชญากรที่นำโดยชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา ที่ใช้วิธี "หลอกให้รักแล้วตบทรัพย์" หรือที่เรียกว่า "romance scam operation" สร้างความเสียหายเป็นมูลค่า 12,000 ล้านวอน (ประมาณ 275 ล้านบาท) มีโครงสร้างแบบองค์กรธุรกิจที่แบ่งงานออกเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายศูนย์บริการลูกค้า (คอลเซ็นเตอร์) และฝ่ายฟอกเงิน
รายงานซึ่งอ้างการเปิดเผยของตำรวจนครบาลอุลซัน มหานครใหญ่อันดับ 7 ของเกาหลีใต้ ระบุว่า องค์กรอาชญากรรมนี้ ก่อตั้งโดยคู่รักชาวเกาหลีใต้ และบริหารสำนักงานหลายแห่งทั่วกรุงพนมเปญ โดยสำนักงานใหญ่ในใจกลางเมืองรับผิดชอบด้านการสรรหาบุคลากรและการวางแผน ในขณะที่อาคารที่พักอาศัยทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ เป็นที่ตั้งของคอลเซ็นเตอร์ และ "ไทซา คอมเพล็กซ์" (Taiza Complex) ที่อยู่ฝั่งตะวันตก ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการฟอกเงินผิดกฎหมาย
ตำรวจอุลซาน เปิดเผยด้วยว่า องค์กรนี้ดำเนินงานเหมือน "โรงงาน" โดยมีสมาชิกหลายสิบคน และแบ่งออกเป็นทีมเฉพาะทาง 8 ทีม ทีมผู้บริหารรับผิดชอบการวางแผนโดยรวมและการฝึกอบรมพนักงาน ทีมบุคลากรรับผิดชอบการคัดเลือกและบริหารจัดการพนักงาน ทีมพิเศษได้ผลิตวิดีโอบรรยายการลงทุนปลอม เพื่อหลอกเหยื่อให้โอนเงิน และทีม "อาวุธ" ทำหน้าที่ปรับแต่งความคิดเห็นและจำนวนการดูบน YouTube เพื่อให้เนื้อหาดูถูกต้องตามกฎหมาย
องค์กรนี้ มีกลุ่มหนึ่งที่ประกอบด้วยผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "ทีม TM" ที่ใช้วิดีโอคอลแบบ "Deep Fake" เพื่อสื่อสารกับเหยื่อ โดยมีทีมสนับสนุน คือ ทีมแชท "keyboard" ที่ล่อลวงเหยื่อให้ตกหลุมรัก และรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวทางออนไลน์ ตามด้วยทีม "bankbook" หรือ "สมุดบัญชีธนาคาร" ทำหน้าที่รวบรวมบัญชีเพื่อการฟอกเงิน และยังมีทีมฟอกเงินที่จะแปลงรายได้จากการทำผิดกฎหมายผ่านบัญชีม้าและสกุลเงินดิจิทัล
กลุ่มอาชญากรรมนี้ มีหลายสาขานอกเหนือจากฐานหลัก โดยหน่วยฟอกเงินตั้งอยู่ที่ "ไทซา" ศูนย์บริการลูกค้าอยู่ในชุมชนที่อยู่อาศัย และทีมงานรับสมัครอยู่ในใจกลางกรุงพนมเปญ ตำรวจเชื่อว่านักลงทุนชาวจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มนี้ โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ และเก็บเกี่ยวผลกำไรในรูปแบบของผลตอบแทนจากการลงทุน กลุ่มอาชญากรเกาหลีใต้ ยังช่วยฟอกเงินเพื่อแลกกับค่าคอมมิชชั่น
กลุ่มนี้ยังฝึกอบรมสมาชิกเกี่ยวกับวิธีการรับมือกรณีถูกจับกุม โดย "สมาชิกถูกสั่งให้ใช้ชื่อปลอมและบอกว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการบังคับ หรือการหลอกลวงการจ้างงาน" โดยตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ได้กำหนดเป้าหมายเหยื่อชาวเกาหลีใต้ผ่านแอปแชท โดยสร้างความสัมพันธ์ก่อนที่จะชวนให้ "ศึกษาการลงทุน" ร่วมกัน และใช้วิธีล่อเหยื่อไปยังช่อง "YouTube" และแอปการลงทุนที่หลอกลวง ทำให้มีผู้เสียหายประมาณ 100 คน รวมถึงแม่บ้านและผู้พิการ แต่ละคนสูญเสียเงินตั้งแต่หลายล้านถึง 800 ล้านวอน หรือมากกว่า 18 ล้านบาท
ตำรวจได้ตั้งข้อหาฉ้อโกง 83 ราย รวมถึงแกนนำ จนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกจับกุม 56 ราย และถูกควบคุมตัว 36 ราย ขณะที่ 27 ราย ยังคงหลบหนี ผู้ต้องสงสัย 14 รายถูกขึ้นบัญชีแดงของตำรวจสากล (Interpol) ส่วนคู่สามีภรรยาชาวเกาหลีตัวการ ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำในกัมพูชา แต่การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมายังเกาหลีล่าช้าออกไปเป็นเวลา 9 เดือน