เมื่อวันพุธ (23 เมษายน) 12 รัฐในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง รัฐแอริโซนา, โคโลราโด, อิลลินอยส์ และนิวยอร์ก ยื่นฟ้องต่อศาลการค้าระหว่างประเทศในนครนิวยอร์ก โดยกล่าวหาว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรต่อทั่วโลก โดยเลี่ยงขอมติเห็นชอบจากรัฐสภา และหันไปใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้นโยบายการค้าของทรัมป์เป็นการกระทำด้วยความแปรปรวนตามอำเภอใจมากกว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายอย่างสมเหตุผล นอกจากนี้ทรัมป์ยังทำลายระบบรัฐบาลและกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ และสร้างความโกลาหลแก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ
แต่โฆษกทำเนียบขาว วิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าวโดยฝ่ายพรรคเดโมแครตเป็นการล่าแม่มดต่อทรัมป์ และยืนยันว่า รัฐบาลทรัมป์ใช้อำนาจอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินจากทั้งผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย การไหลทะลักของยาเสพติดเฟนทานิล และยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ จำนวนมหาศาล
ขณะที่รัฐทั้ง 12 แห่ง ระบุว่า การขาดดุลการค้าและปัญหาอื่น ๆ ที่ทรัมป์กล่าวอ้างไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดว่าสามารถใช้อำนาจฉุกเฉินได้เมื่อประสบภัยคุกคามที่ไม่ปกติ
การยื่นฟ้องล่าสุดมีขึ้นหลังจากรัฐแคลิฟอร์เนีย, ธุรกิจขนาดเล็ก และชนพื้นเมืองแบล็กฟีต ในรัฐมอนทานา ยื่นฟ้องในคดีคล้ายกัน และคดีล่าสุดต้องการให้ศาลสั่งระงับการบังคับภาษีศุลกากร รวมถึงภาษีที่ทรัมป์บังคับใช้ทั่วโลกเมื่อวันที่ 9 เมษายน และกล่าวหาว่า ภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคอเมริกันแบกรับราคาสินค้าที่แพงขึ้น
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของอิโคโนมิสต์และยูกอฟ ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ พบว่า คะแนนนิยมของทรัมป์ลดลงเหลือเพียง 41% เมื่อเทียบกับเกือบ 50% ช่วงเดือนมกราคม และชาวอเมริกัน 54% รู้สึกว่า เศรษฐกิจแย่ลง เมื่อเทียบกับ 37% ในการสำรวจเมื่อเดือนมกราคม
ส่วนผลสำรวจของรอยเตอร์และอิปซอส พบว่า มีชาวอเมริกันเพียง 31% พอใจการทำงานของทรัมป์เรื่องค่าครองชีพแพง
และผลสำรวจของศูนย์วิจัยพิว พบว่า คะแนนนิยมทรัมป์ลดลงเหลือ 40% จาก 45% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่แกลลัพ โพลล์ เผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า คะแนนนิยมเฉลี่ยของทรัมป์ในช่วง 3 เดือนแรกอยูที่ 45% ต่ำกว่าประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ในช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2