“เอส กันตพงศ์ บำรุงรักษ์” ออกมาเปิดใจหลังรักษาอาการป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันบอกเล่าเรื่องราวของสุขภาพ รวมถึงความพร้อมในการทำงาน โดยเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับทางต้นสังกัด เที่ยงบันเทิงสด" ทางช่อง 7HD เผยว่าหลังรอดตายราวปาฏิหาริย์ ตนเองนั้นมีความจำบางส่วนที่หายไป รู้สึกดีใจมากๆ ได้กลับมาช่อง 7 ได้กลับมาพูดทางทีวีให้แฟนๆ ได้ฟัง และที่ประทับใจมากกว่านั้นคือเจอพี่ ๆ หลายท่านแล้ว เขาน้ำตาคลอ ทำให้รู้เลยว่ามากกว่าเพื่อนร่วมงานจริงๆ มันคือญาติจริงๆ ดีใจและมีความสุขมาก เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำ
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คุณหมอแนะนำนะ ช่วงที่ความทรงจำหายไป คุณหมอก็บอกว่าให้พยายามเจอเพื่อนๆ ในอดีต เจอคนรู้จักเพื่อคุย สมองจะคิดตามและคิดได้ ตอนนี้อันดับแรกคือที่ร่างกายผมมีฝังเครื่องเอาไว้ที่หัวใจ เผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นมาในอนาคตเครื่องนี้จะสามารถปั๊มช่วยได้ ให้ไม่มีข้อผิดพลาด สิ่งที่คุณหมอให้ทำคือการเล่นเกมฝึกสมอง เกมวางแผน (หัวเราะ) ช่วง 1-2 วันแรก เล่นแข่งกับคุณหมอคือเราแพ้ แต่พอจากนั้นเราชนะตลอด คุณหมอสนุก (หัวเราะ) และออกกำลังกาย ช่วงแรกที่ฝังเครื่องเข้าไปที่หัวใจ มือผมยกได้นิดเดียว
ซึ่งคุณหมอบอกว่า 3 วันเราก็สามารถออกกำลังกายได้แล้ว แต่ปรากฎว่าพอ 3 วัน ผมก็ยังยกแขนได้ไม่สุด จนที่กลับมายกแขนได้ใกล้เคียงเดิม พอกลับบ้านวันแรก ผมก็ฝึกมวยไทยก็ไม่เจ็บ แต่วันที่สองคือนอนเจ็บ พอเริ่มกลับมาใกล้เคียงเดิมมากๆส่วนอีกสิ่งที่คุณหมอให้ทำอีกอย่างก็คือเล่นเกมครับ พวกเกมฝึกสมอง วางแผน วันแรกๆ คือแพ้คุณหมอ พอวันหลังๆ ก็คือชนะมากขึ้น แล้วก็เริ่มออกกำลังกาย อีกส่วนที่ช่วยฟื้นฟูผมก็คือธรรมะ เอาจริงๆ ตั้งแต่เด็กเป็นคนที่ชอบไหว้พระ นั่งสมาธิ อย่างตอนอยู่โรงพยาบาลคุณหมอจะรู้ ถ้าผมกำลังสวดมนต์เดี๋ยวคุณหมอจะค่อยกลับมาใหม่ เพราะผมจะตื่นมาประมาณ 07.00-08.00 น. กว่าจะสวดมนต์เสร็จก็ประมาณ 09.00-10.00 น. คุณหมอถึงจะเข้ามาได้ ก็รู้สึกอยากกลับมา ทั้งงานละคร งานพิธีกร ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ผมแฮปปี้มากๆ อยากขอบคุณทุกคนที่ส่งกำลังใจมาให้ผม ผมสัญญาจะทำอย่างเต็มที่
ถามว่าคิดถึงงานขนาดไหน ต้องบอกเลยว่าความคิดแรกตั้งแต่ผมอยู่โรงพยาบาล ลืมตามาก็คือ I have to go out, I have to go work อยากจะไปทำงานมาก พอตอนนี้กลับมาใกล้เคียงเดิมมากขึ้น รู้สึกว่าอยากกลับมาแน่นอน อยากกลับมาทั้งงานละคร พิธีกร อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปว่าตอนเด็กๆ อยากจะเป็นตำรวจ แล้วก็เปลี่ยนใจนิดหนึ่ง มาเป็นนักแสดง พิธีกร เพราะมันทำให้สื่อสารการทำความดีได้ พอเราได้ดูละครของตัวเองอย่าง "สารวัตรใหญ่" รู้สึกใช่นะ ดีใจที่เราได้สื่อสารให้สังคม อยากให้น้องๆ ที่ดูแล้วรู้สึกว่าโตมาอยากเป็นตำรวจ หรือว่าอาชีพไหนก็ตามที่เป็นคนดี
เราอยากเสริมสร้างแรงบันดาลใจดีๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะกลับมาทำงานละครอีก กลับมาเป็นพิธีกรอีก เป็นอะไรที่แฮปปี้มากๆ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่แฮปปี้เลย กับตัวละคร "ใหญ่ เวโรจน์" ในละคร "สารวัตรใหญ่" เป็นตัวละครที่ผมชอบมากๆ แต่ว่าต้องทำการบ้านเยอะมากๆ บทละครทั่วไปมันก็จะหนาประมาณครึ่งหน้า แล้วก็เป็นบทคนอื่นมาพูดต่อ แต่เรื่องนี้สารวัตรใหญ่พูดคนเดียวทั้งหน้า บทที่พูดเยอะมาก บทยาวเป็นหน้า เพราะต้องคุยกับลูกน้องคนนี้ต่อนิด คนนั้นต่อหน่อย คนนั้นต่ออีก
แล้วไม่ได้ยากแค่ตรงที่ต้องพูดต่อกัน แต่บทมันยาก ตรงที่ต้องพูดพวกข้อกฎหมาย ข้อนี้พูดว่าอะไร มาตรานี้คืออะไร ซึ่งเราก็ต้องจำข้อกฎหมายที่จะพูดให้ได้ทั้งหมดว่าข้อนี้สอนว่ายังไง แต่ผมชอบมากๆ แม้บทจะลึกจะยาก และยาว แต่มันมีความสุขมากๆ เรื่องนี้ได้ใส่ชุดตำรวจด้วยภูมิใจมาก เพราะตอนเด็กๆ เราก็อยากเป็นตำรวจด้วย บทดีมากๆ ต้องขอบคุณคนเขียนบทจริงๆ ฉากที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นฉากที่สารวัตรใหญ่อยู่กับลูกน้อง พูดกับลูกน้อง สอนให้ลูกน้องทำดีทำยังไง ถ้าพูดแล้ว ลูกน้องทำดีได้ เดี๋ยวประเทศก็จะเจริญตาม ละครเรื่องนี้มันสะท้อนทุกสังคมจริงๆ ครับ อยากให้ติดตามกันนะครับ