น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบกรอบ 35.40-36.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ติดตามข้อมูลการใช้จ่ายผู้บริโภค และการจ้างงานของสหรัฐฯ รวมถึงความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด
ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์ดอกเบี้ยสหรัฐฯต่อไป นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจ กับมาตรการคุมโควิดในจีน และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ 1.25% ในการประชุมวันที่ 30 พ.ย. โดยตลาดจะดูการประเมินของกนง.เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เดือนนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น2.3 หมื่นล้านบาท และพันธบัตรไทย 5.6 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจะไร้ทิศทางชัดเจนขณะที่เข้าสู่ช่วงปลายปี
ส่วนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค 1 พ.ย.-25 พ.ย. พบว่า วอน-เกาหลีใต้ แข็งค่ามากสุด 7.70 % รองลงมาคือ บาท-ไทย 6.87% ริงกิต-มาเลเซีย 6.01% ดอลลาร์-ไต้หวัน 4.43% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 3.30% เปโซ-ฟิลิปปินส์ 2.17% หยวน-จีน 2.04% รูปี-อินเดีย 1.53% ดอง-เวียดนาม 0.14% ยกเว้นรูเปียห์-อินโดนีเซีย อ่อนค่า 0.47 %
สาเหตุที่เงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มในเดือนนี้ ตามมุมมองที่ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง กระแสเงินทุนไหลเข้า และราคาน้ำมันที่ลดลง
อย่างไรก็ดี ทิศทางการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคของจีนยังเป็นไปอย่างสับสนของเราถือว่าแข็งค่าขณะที่ดอลลาร์อ่อนลงเป็นหลัก ส่วน ปัจจัยเฉพาะตัวนั้น คาดว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ทั้งนี้ในปีนี้วิจัยกรุงศรีคาดจีดีพีโต 3.1% ปีหน้า 3.6% ส่งออก 7.5% ปีนี้ ปีหน้า 3.5% เงินเฟ้อ 6.1% ปีนี้และปีหน้า 2.5%