
5 พฤศจิกายน 2568 กรณี น.ส.ส้ม (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี และนางบี (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี แม่น้องส้ม ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน อยากให้มีการตรวจสอบกรณีร้านขายเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ คิดราคาสินค้าเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์จากราคาป้าย
ซึ่ง น.ส.ส้ม อธิบายว่า ตอนแรกซื้อเครื่องสำอางด้วยการใช้เงินสดซื้อจำนวนเงิน 100 บาท บิลออกมา 100 บาท จากนั้นจึงอยากลองใช้คนละครึ่งในวงเงิน 400 บาทต่อวัน เลือกซื้อสินค้า 3 รายการ มีราคา 149 บาท,179 บาท และ 38 บาท รวมกันจะได้ 366 บาท แต่บิลที่ออกมาเป็น 391.62 บาท เมื่อเอามาคิดแล้วราคา พบว่าสินค้าถูกคิดราคาเพิ่มอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ดูแล้วเหมือนเอารัดเอาเปรียบลูกค้า
ต่อมา เจ้าของร้านเครื่องสำอาง ได้ออกมากล่าวยอมรับว่า ได้มีการปรับราคาสินค้าขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์จริง สาเหตุที่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะได้ยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7 % คือต้องจัดเก็บภาษี 7 เปอร์เซ็นต์ส่งให้กับสรรพากรทุกเดือน ต่างจากร้านอื่นที่อาจจะเสียภาษีแบบเหมาจ่าย
ส่วนที่ต้องคิดเพิ่มกับโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น สินค้าที่ซื้อมาจะต้องลดราคาแข่งกับร้านอื่น ดังนั้นจึงต้องปรับเพิ่ม VAT ในระบบเก็บเงิน ทำให้บิลที่ออกมา มีการคำนวณราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 7 เปอร์เซ็นต์
ล่าสุด นายสุทธิศักดิ์ พรหมบุตร พาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย นางกรรณชนันจ์ คชสีห์ หัวหน้ากลุ่มกำกับและพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และเจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ที่มีพฤติกรรมจำหน่ายสินค้าไม่ตรงกับป้ายแสดงราคา โดยเฉพาะร้านที่ปรากฏเป็นข่าว พบว่าร้านค้าดังกล่าวจำหน่ายสินค้าไม่ตรงกับป้ายที่แสดงราคาจริง และเจ้าของร้านค้าก็ยอมรับสารภาพ ว่ามีพฤติกรรมตามที่มีการกล่าวอ้าง ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
นายสุทธิศักดิ์ กล่าวว่า กรณีนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการปรับเป็นพินัย เป็นเงิน 1,000 บาท เนื่องจากไม่ใช่ร้านนิติบุคคล รวมถึงกำชับให้การปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ผู้ใช้บริการคนละครึ่งพลัสมีความเชื่อมั่น ในโครงการฯ ซึ่งเจ้าของร้านยินดีที่จะปฏิบัติ ตามโดยไม่ติดใจใดๆ