อัยการชี้ ไทยเปิดเสียงผีหลอกกัมพูชาส่อผิดอนุสัญญา CAT

13 ตุลาคม 2568 เเหล่งข่าวนักกฎหมายจากสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุถึงกรณีที่มีอินฟลูฯ หรือกลุ่มบุคคล เข้าไปเปิดเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงผี ผ่านลำโพงขนาดใหญ่ เพื่อจงใจให้เสียงกระจายไปยังชาวบ้านกัมพูชา ในพื้นที่ใกล้เคียงบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เพื่อกดดันให้หวาดกลัวจากการกระทำ เท่าที่ปรากฎในกฎหมายไทย จะเข้าข่ายข้อหาทำให้เดือดร้อนรำคาญ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397   ซึ่งบัญญัติไว้ว่า หากมีการกระทำที่สร้างความรำคาญ เช่น การส่งเสียงดัง การทะเลาะวิวาท การจอดรถขวางทาง หรือการทำให้ผู้อื่นอับอายมีโทษ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หากการกระทำนั้นเกิดขึ้นในที่สาธารณะหรือต่อหน้าคนจำนวนมาก อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จัดอยู่เป็นความผิดลหุโทษหรือความผิดที่มีโทษเล็กน้อย 
 

เเต่ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งไม่ควรทำ เพราะอาจจะมีผลตามมาได้ในเวทีการเจรจา จุดประสงค์ที่เราต้องการขับไล่ ตนเชื่อว่าเขาไม่ออกเพราะเเค่เสียงที่เราเปิด 
 

อัยการระบุว่า ส่วนประชาชนชาวกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ เขาคงข้ามมาดำเนินคดีอาญากับไทยเราไม่ได้ เเต่ถึงมีคนกัมพูชามาเเจ้งความ ก็จะเข้าข่ายลหุโทษอย่างที่กล่าวไว้ เเต่การที่เราไปทำเเบบนี้ มันทำให้เกิดผลเสียในเวทีระดับสากล เสี่ยงผิดสนธิสัญญาตามอนุสัญญา CAT เรื่อง การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี ตามที่  นางอังคณา นีละไพจิตร ระบุไว้ สิ่งที่ทำไปตรงนี้กระทบกับกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นประชาชนพลเรือนกัมพูชา ไม่ได้ไปกระทบกับทหารฝ่ายตรงข้าม
 

การที่จะออกมาอ้างว่า เปิดในเเผ่นดินไทย แต่มันไม่ใช่เพราะ กระทำตรงนี้ เเต่ผลมันไปเกิดที่ประชาชนกัมพูชา ตอนนี้ใครออกมาพูดก็จะทัวร์ลง เเต่ก็จะเกิดคำถามตามมาว่า ปัญหาอธิปไตยชายเเดน ทำไมทหารไทยไม่เเก้ปัญหา ถึงปล่อยให้อินฟลูฯ ไปทำจนเกิดผลเเบบนี้  เเม้ในกฎหมายไทยจะผิดเเค่ก่อให้เกิดเดือดร้อนรำคาญ เเต่ผลที่ทำจะไปกระทบ เเละโยงกับชื่อเสียงประเทศไทยในเวทีนานาชาติ 
 

ส่วนเรื่องอนุสัญญาเรื่องการทรมานฯ ที่ไทยเราเป็นภาคี จะไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ ที่มีโทษอาญาในประเทศไทย  เพราะ พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นเรื่องการควบคุมตัว การตรวจสอบอำนาจการจับกุมว่าเป็นการซ้อมทรมานหรือไม่ โดยให้พนักงานอัยการเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบ
 

 

"ปณิธาน" ชี้ใช้เสียงผีไล่กัมพูชา รุนแรงน้อยกว่าใช้อาวุธ แต่จะเหมาะสมหรือไม่ ยังมีปัจจัยพิจารณาอื่นๆ
 

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ กล่าวว่า การใช้เสียงผีไล่กัมพูชา ยังถือว่าเป็นการใช้เครื่องมือที่ไม่ได้คุกคามต่อชีวิตโดยตรง เป้าหมายเพื่อกดดันคนที่รุกล้ำดินแดนเข้ามา เพื่อให้อพยพออกไปจากพื้นที่ วิธีนี้ถือว่ารุนแรงน้อยกว่าใช้อาวุธ แต่จะเหมาะสมหรือไม่ ยังมีปัจจัยพิจารณาอื่นๆ อีก ได้แก่

1. ควรใช้เครื่องมือส่งเสียงที่มีมาตรฐานสากล เช่นที่ตำรวจหรือทหารในหลายประเทศ ใช้เป็นอุปกรณ์หรืออาวุธที่ไม่ร้ายแรงในการควบคุมฝูงชน (คลื่นเสียงสลายม็อบ)

2. ควรชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมและนานาชาติ ก่อนที่จะมีการดำเนินการให้ชัดเจน

3. ควรเป็นการปฏิบัติการโดยตำรวจเป็นหลัก และมีทหารคุ้มกันและป้องกัน หากมีพลเรือนต้องการมีส่วนร่วม ก็ควรจะจัดให้เหมาะสม