
29 กันยายน 2568 มีรายงานว่า “นายอุม เรยไตร” ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้ยื่นหนังสือประท้วง ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว หลังจากที่วานนี้ (28 ก.ย.68) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้นำหนังสือประท้วง ขึ้นป้ายประกาศ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน ซึ่งมีเนื้อหาประกาศการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศไทย กับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจกเจย และหมู่บ้านเปรยจัน ซึ่งเป็นดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย ตามที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์เป็นของตน
เนื้อหาในเอกสารเรื่อง การประท้วง ระบุว่า ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ข้างต้น ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ทราบว่าเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 จังหวัดสระแก้ว ได้ชูป้ายการใช้กฎหมายท้องถิ่นของไทย ต่อชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโจกเจย และหมู่บ้านเปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย ด้วยความเคารพว่า
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 จังหวัดสระแก้วได้ปักป้าย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายภายในของไทยต่อพลเมืองกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในบ้านจกเจยและบ้านเปรยจัน
ในนามของจังหวัดบันเตียเมียนเจย ข้าพเจ้าขอประท้วงอย่างรุนแรงต่อการกระทำดังกล่าว ดังนี้
การปักป้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเนื้อหาของคำประกาศข้างต้น ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ต่อชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทั้งสองแห่งนี้มาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะมีการบันทึกความเข้าใจว่ าด้วยการวัดและกำหนดเขตแดนทางบกกัมพูชา-ไทย (MOU 43) จะมีผลบังคับใช้
ขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัดบันเตียเมียนเจย ขอชี้แจงว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระแก้ว ไม่มีอำนาจในการปักปันเขตแดน และบังคับใช้กฎหมายไทยกับชุมชนชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ที่นั่น ตามบันทึกความเข้าใจ (MOU 2000) ยังไม่มีการสรุปรายงานการประชุมพิเศษของคณะกรรมาธิการภูมิภาค และการกำหนดเขตแดนคณะกรรมการชายแดนทั่วไปของกัมพูชาและไทย (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงสถานะเดิมไว้ จนกว่างานปักปันเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์
การกระทำฝ่ายเดียวดังกล่าวข้างต้น เป็นการยั่วยุที่นำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ขัดแย้ง และเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ผลการประชุมวิสามัญของคณะกรรมการเขตแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และผลการประชุมวิสามัญของคณะกรรมการชายแดนทหาร (RBC) รวมถึงการละเมิดรายงานการประชุมวิสามัญครั้งแรกของคณะกรรมการเขตแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะป้องกันการกระทำใดๆ ที่บ่อนทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เพิ่มความตึงเครียดตามแนวชายแดน หรือขยายขอบเขตและขนาดของความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเมิดข้อ 8 ของรายงานการประชุมพิเศษครั้งแรกของ GBC ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันดังต่อไปนี้
8.1 เกี่ยวกับเหตุการณ์ในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว
8.1.1. ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่า คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการวัดและกำหนดเขตแดนร่วมกัน และตกลงที่จะบรรจุประเด็นนี้ไว้ในวาระการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ครั้งต่อไป
8.1.2. ทั้งสองฝ่ายมอบหมายให้คณะกรรมการชายแดนเขตทหาร (RBC) หารือเกี่ยวกับการจัดการปัญหานี้โดยเร็วที่สุดตามผลการหารือของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)
ในระหว่างนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยและจังหวัดสระแก้ว จะประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดการสถานการณ์ในพื้นที่โดยสันติวิธี รวมถึงการยุติกิจกรรมใด ๆ ที่ทำให้ข้อพิพาทลุกลามและเพิ่มความตึงเครียด
ดังนั้น จังหวัดบันเตียเมียนเจย จึงขอให้จังหวัดสระแก้วให้ความร่วมมือ ในการดำเนินมาตรการเพื่อยุติกิจกรรมข้างต้นโดยทันที โดยยังคงรักษาสถานะเดิมไว้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบันเตียเมียนเจย
ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จังหวัดสระแก้วจะยึดมั่นตามเงื่อนไขการหยุดยิงด้วยความสุจริตใจ และยุติแผนการขับไล่ครอบครัวหลายร้อยครอบครัว ออกจากบ้านเรือนและที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานหลายปี
ดังนั้น โปรดรับทราบและอดทนรอมติของคณะกรรมการชายแดนร่วมกัมพูชา-ไทย เพื่อสรุปประเด็นเรื่องการกำหนดเขตแดน ข้าพเจ้าขอรับรองด้วยความเคารพอย่างสูง
ขณะที่จังหวัดสระแก้ว ได้ออกแถลงการณ์จังหวัดสระแก้ว ระบุว่า ได้รับหนังสือประท้วงจากจังหวัดบันเตียนเมียนเจย 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ประท้วงกรณีกองกำลังทหารฝ่ายไทย ได้นำเครื่องจักร รถบรรทุกดิน ทำการถมดิน ปรับเกลี่ยดิน ทำทางและวางเสาไฟฟ้า รวมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่บ้านโจกเจย และบ้านเปรย ตำบลโอร์แบ็ยเจือน อำเภอโอร์โจรว จังหวัดบันเตียนเมียนเจย
และ 2 ฉบับที่ 6 เมื่อวันที่ 28 กันยายน2568 ประท้วงกรณีจังหวัดสระแก้ว ประกาศใช้กฎหมาย ภายในราชอาณาจักรไทยกับประชาชนชาวกัมพูชา ที่อาศัยอยู่หมู่บ้านโจกเจย และบ้านเปรย ตำบลโอร์แบ็ยเจือน อำเภอโอร์โจรว จังหวัดบันเตียนเมียนเจย
จังหวัดสระแก้ว ได้พิจารณาข้อประท้วง ได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดบันเตียนเมียนเจย พร้อมกันในครั้งนี้
1.การประท้วงเกี่ยวกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และระบบรักษาความปลอดภัย ที่อยู่ในพื้นพื้นที่ ของราชอาณาจักรไทย
ถือเป็นการประท้วงที่บิดเบือนความเป็นจริง และ เป็นที่น่าผิดหวัง ที่ผู้ว่ารายการจังหวัดบันเตียนเมียนเจย พยายามนำเสนอถึงข้อตกลงต่างๆ ที่ตนเองไม่เคยเคารพปฏิบัติตาม และพยายามกล่าวอ้างอย่างน่าละอาย ถึงการอยู่อาศัยมาหลายทศวรรษ ทั้ง ๆ ที่เป็นพื้นที่ในราชอามาจักรไทย ที่ประเทศไทศไทยตัดสินใจด้านนุษธธรรม ในการเปิดพรมแดนในช่วง ปีพ.ศ. 2522 ให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคน ที่หนีภัยสงครามกลางเมืองในประเทศกัมพูชา เข้ามาหาที่พักพิงในประเทศไทย และในปัจจุบันก็ยังไม่เคยหยุดการยั่วยุ อันนำมาซึ่งความขัดแย้งแย้ง และเพิ่มความตึงเครียดด้วยตนเอง
2.จังหวัดบันเตียเมียนเจย ควรจะต้องกลับไปเร่งพิจารณาจัดทำแผนอพยพราษฎรชาวกัมพูชา ที่รุกที่ล้ำพื้นที่ราชอาณาจักรไทย และอยู่นอกพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามที่จังหวัดสระแก้วโดยเร่งด่วน ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ดำเนินการย้ายราษฎรกัมพูชา ที่รุกล้ำพื้นที่ของราชอามาจักรไทยและ อยู่นอกพื้นที่อ้างสิทธิ์ กลับราชอาณาจักรกัมพูชา ตามแผนอพยพ อันจะเป็นการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี และเป็นไปตามหลักการสากล ซึ่งจะเหมาะสมกว่าการประท้วงอย่างบิดเบือนความเป็นจริง และการกล่าวอ้างที่น่าละอายดังกล่าว
3.จังหวัดบันเตียนเมียนเจย จะต้องหยุดการดำเนินการต่อการยั่วยุ สร้างความขัดแย้ง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ การก่อสร้างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราวนอกพื้นที่อ้างสิทธิ์ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยตนเอง หรือจ้างงานประชาชนชาวกัมพูชาดำเนินการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2548 ซึ่งกระบวนการทางกฎหมาย ท้ายสุดแล้วในชั้นศาลอาจจะมีคำพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
4 หากจังหวัดบันเตียนเมียนเจย ไม่ดำเนินการตามข้อ 2 และข้อ 3 จังหวัดสระแก้วจะไม่รับฟังการประท้วงทุกกรณี และไม่พิจารณาข้อเสนอใดๆ ของจังหวัดบันเตียนเมียนเจย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป