svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ศาล ปค.สูงสุด พิพากษาเเก้ ให้ถอนประกาศใบสั่งค่าปรับ 2 ฉบับ เเต่ไม่ย้อนหลัง

ศาล ปค.สูงสุด พิพากษาแก้ ศาล ปค.กลาง ให้เพิกถอนประกาศใบสั่งค่าปรับจราจร 2 ฉบับ เเต่ไม่ให้มีผลย้อนหลัง ให้โอกาส ผบ.ตร. ออกประกาศใหม่

5 กุมภาพันธ์ 2568  ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีที่นางสุภา ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)  กับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า ร่วมกันออกประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบ สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

จากเดิมที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวโดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกประกาศ เป็นการพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบ สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2566 โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา แทน

ศาลให้เหตุผลว่า แม้ว่า การออกประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เป็นการออกประกาศขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับการพิจารณาโทษตามข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แห่งการกระทำ ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมายจราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น ซึ่งมุ่งควบคุมกำกับการใช้รถให้เกิดความปลอดภัย ส่งเสริมวินัยจราจร และให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดตามพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดด้วยความเสมอภาค เนื่องจากรูปแบบใบสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ตาม ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 “ได้ตัดสาระสำคัญในส่วนของการปฏิเสธการกระทำความผิดตามใบสั่ง บันทึกของผู้ต้องหา และบันทึกของพนักงานสอบสวน กำหนดไว้เพียงวิธีการชำระค่าปรับด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่า ตนมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับเท่านั้น”

 

นอกจากนี้ การที่ ผบ.ตร. ออกประกำหนดจำนวนค่าปรับเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 เป็นการล่วงหน้าในอัตราคงที่แน่นอนตายตัวนั้น ไม่ได้มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจว่า

กรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก หรือกฎหมายอื่น เกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง การกระทำของผู้ขับขี่ดังกล่าว สมควรที่เจ้าพนักงานจราจร จะว่ากล่าวตักเตือน เช่น กรณีมีเหตุจำเป็น หรือเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก หรือการกระทำของผู้ขับขี่สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับหรือไม่ และเป็นจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้เป็นจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่กรณีที่ไม่พบด้วยตนเอง หรือเป็นการใช้เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ ”เจ้าพนักงานจราจรย่อมมีดุลพินิจดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นกรณีที่ ผบ.ตร. ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น ขัด พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคดีนี้ ศาลจะวินิจฉัยว่า ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิพาทดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่โดยที่เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ให้เหตุผลว่า “ปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ผู้ขับขี่ขาดวินัยในการใช้รถใช้ถนน และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก กรณีจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนในการจราจรและประโยชน์สาธารณะ

 

ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิพาทในคดีนี้ จึงถือเป็นเครื่องมือหรือมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานจราจร ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบกับปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ผบ.ตร. สามารถปรับปรุงแก้ไขได้โดยการกำหนดรูปแบบใบสั่งให้มีข้อความคำเตือน ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อน และกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ให้มีลักษณะที่เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรทางบก ว่ากล่าวตักเตือน หรือใช้ดุลพินิจในการกำหนดจำนวนค่าปรับไม่เกินจำนวนที่ ผบ.ตร. กำหนด ตามที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก บัญญัติไว้ได้“ เช่น กรณีฐานความผิด ไม่ขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือตามเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้ง จำนวนค่าปรับ ควรกำหนดเป็นครั้งที่ 1 ว่ากล่าวตักเตือน หรือใช้ดุลพินิจที่จะไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่สมควรใช้ดุลพินิจปรับครั้งนี้ไม่เกินจำนวนเท่าใด

 

และหากกระทำความผิดครั้งต่อไป จะปรับเป็นจำนวนเท่าใด รวมถึงการกระทำความผิดหลายครั้งในฐานความผิดเดียวกันภายในวันเดียวกัน ควรมีการกำหนด เป็นประการใด เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจในการว่ากล่าวตักเตือน หรือเปรียบเทียบปรับตามสมควรแต่ละกรณีได้  อีกทั้ง ผบ.ตร.ยังสามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวได้อยู่แล้ว

 

ดังนั้น จึงยังไม่สมควรพิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสังเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค. 2566 โดยให้มีผลทันที หรือให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย

 

การที่ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว นั้น

 

ศาล ปค.สูงสุด พิพากษาเเก้ ให้ถอนประกาศใบสั่งค่าปรับ 2 ฉบับ เเต่ไม่ย้อนหลัง

 

ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วน พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

โดยสามารถอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มได้ตามลิงก์

https://bit.ly/4jGVRhr