
10 กรกฎาคม 2566 "นายธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ถูก "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อดีตนายกรัฐมนตรี และ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยศูนย์การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ยื่นฟ้องนายธาริต และชุดพนักงานสอบสวนดีเอสไอ รวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา จากการกล่าวหาว่าใช้อาวุธสั่งสังหารประชาชนจากการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 หลังจากเลื่อนฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา จากปัญหาสุขภาพครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 10
โดยนายธาริต กล่าวก่อนขึ้นฟังคำพิพากษาว่า ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาโต้แย้งคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาชุดเดิม ที่ได้พิจารณาคดีนี้ เนื่องจากเพิ่งได้รับหลักฐานที่เชื่อได้ว่า นายสุเทพ ในฐานะอดีตแกนนำ กปปส. มีความเกี่ยวข้องกับอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาอีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้ง นายสุเทพ ได้เคยยื่นฟ้องว่าตน กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษในคดีทุจริตก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน จึงเชื่อว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีนี้อีก
"คำร้องครั้งนี้ได้ขอให้ศาลฎีกาทบทวนคำพิพากาษา และให้เข้าในองค์ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทบทวนคำพิพากษา และใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย รวมทั้งไม่เชื่อมั่นในอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากาษาบางคน" นายธาริต กล่าว
อย่างไรก็ตา หากวันนี้ (10ก.ค.) ศาลฎีกามีคำพิพากษาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ ก็อาจจะส่งผลต่อคดีของกลุ่ม นปช. ที่ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้ว 13 ปี ที่ไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตไปเพียง 27 คน จาก 99 คน ส่วนบางคดี พนักงานสอบสวนยุติการทำคดีไปแล้ว เนื่องจากไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด และบางส่วนเมื่อถึงชั้นอัยการศาลทหาร ก็สั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว ทั้งที่มีพยานหลักฐานว่าการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากกระสุนฝ่ายทหาร
ส่วนกรณีที่ "นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" และ "นายราเมศ รัตนะเชวง" ออกมาเปิดเผยว่า นายธาริต เลอะเลือนที่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพนั้น ซึ่งคดีนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ คดีของกลุ่มนปช. ที่ออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งขณะนั้นก็ได้แจ้งข้อกล่างหาดำเนินคดีกับแกนนำที่กระทำความผิดแล้ว อีกส่วนคือ การดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่พบหลักฐานว่าเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธจริงในการควบคุมสถานการณ์ จึงเห็นว่านานิพิฏฐ์ และนายราเมศ เป็นนักการเมืองที่บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมกับตั้งคำถามกลับว่าใครกันแน่ที่เลอะเลือน
ส่วนการต่อสู้ในคดีนี้ตลอดทั้ง 3 ศาลนั้น โดยกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ช. มีมติว่านายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ว่าจะยังไม่มีความผิด เพราะหลังจากศาลฎีกายกฟ้องคดีแล้ว ได้ส่งสำนวนให้สำนักงาน ป.ป.ช. ไปไต่สวนอีกครั้ง ก่อนที่จะให้กลับมายื่นฟ้องใหม่ ดังนั้น ขอให้สื่อมวลชนไปติดตามกับ ป.ป.ช.ว่าคดีดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว
"ส่วนคำพิพากษาในวันนี้หากตัดสินว่าตัวเองมีความผิด ก็จะถือว่ารับรองการออกคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ใช้อาวุธจริงสลายการชุมนุมเป็นไปด้วยชอบแล้ว รวมทั้งผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และผู้เสียชีวิต 99 คน ก็จะไม่ได้รับโอกาสชดใช้ค่าเสียหาย และตัวเองก็ต้องโทษจำคุก" นายธาริต กล่าว
นายธาริต กล่าวยืนยันว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาพิจาณาในวันนี้ไม่ใช่การประวิงเวลา แต่เพิ่งได้รับหลักฐานมา จึงต้องร้องให้ตรวจสอบ ส่วนจะต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่ในการพิจารณาคำร้องนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลฎีกา นอกจากนั้นก็ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความการฟ้องตามกฎหมาย มาตรา 157 และมาตรา 200 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกหนึ่งคำร้อง
ทนายสุเทพ-อภิสิทธิ์ ย้ำ ธาริต เจตนากลั่นเเกล้ง
ขณะที่ นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ เห็นว่าการแถลงของนายธาริต เมื่อวันที่ 8 ก"8" ที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวข้องกับการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันนี้ และเห็นว่าคดีนี้นายธาริต ขณะเป็นอธิบดีดีเอสไอ ได้ทำคดีของกลุ่ม นปช. ว่าก่อการร้าย แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ก็กลับทำคดีใหม่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ สั่งสังหารประชาชนในการสลายชุมนุม นปช. จากการออกคำสั่งของผู้อำนวยการ ศอฉ.
ส่วนการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้ศาลฎีกาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับข้อกฎหมายมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น เห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลฎีกา ว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ที่นายธาริต กลับคำให้การเป็นรับสารภาพ โดยพร้อมจะชดใช้เงินหลักแสนบาทให้กับโจทก์ทั้งสองคน แต่ทั้งสองคนปฏิเสธรับเงิน ไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่าส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
"ตั้งแต่เป็นทนายความมายังไม่เคยเห็นว่าจำเลยจะขอเลื่อนฟังคำพิพากษาถึง 10 ครั้ง จากการอ้างว่าเจ็บป่วย คดีนี้ถือเป็นคดีแรก เช่นเดียวกับคดีทุจริตสร้างสถานีตำรวจ นายธาริตก็ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาเช่นกัน แต่ไม่เยอะเท่าคดีนี้ ส่วนวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษา หรือเลื่อน ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล หลังจากที่นายธาริต ได้ขอยื่นคำร้องใฟ้ศาลฎีกาพิจารณาเพิ่มเติม" นายสวัสดิ์ กล่าว