26 เมษายน 2566 ประหารชีวิต"ผอ.กอล์ฟ" ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฏีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.300/2564 ในส่วนคดีอาญาเเละคดีเเพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ที่พนักงานอัยการคดีอาญา เเละบริษัทออโรร่า ดีไซน์ พร้อมด้วยผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายอีก 10 ราย เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ "ผอ.กอล์ฟ" อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนฯ และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน กรณีก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ร้านทองออโรร่า ในห้างสรรพสินค้าที่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2563
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (26 เมษายน) ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยษาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยยื่นฎีกา ขอให้ศาลลดโทษ โดยอ้างเหตุผลประกอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า
พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำอย่างอุกอาจในห้างสรรพสินค้าอันเป็นที่สาธารณะกระทำต่อผู้บริสุทธิ์มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน รวม 4 คน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นพฤติการณ์อุกอาจโหดเหี้ยมอันตรายร้ายแรงผิดมนุษย์ จำเลยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนควรมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับมีอาชีพเป็นครู ควรประพฤติตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างกลับกระทำอย่างอุกฉกรรจ์ ที่จำเลยขอความปรานีจากศาลเพื่อลดโทษให้ จึงไม่มีเหตุสมควร ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 64 ว่า จำเลยมีความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 60, 289 (6) ประกอบมาตรา 80, 289 (7), 339 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคท้ายประกอบมาตรา 340 ตรี, 371, 376, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ดังนี้
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย สถานเดียว ปรับ 1,000 บาท ริบของกลาง อาวุธปืนและเครื่องกระสุน หมวกโม่งคลุมศีรษะสีดำ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า เสื้อยืด โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้กระทำผิด รวมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บรรดาโจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 1.8 แสนบาท, ที่ 2 จำนวน 9.9 หมื่นบาท, ที่ 3 จำนวน 1.3 แสนบาท, ที่ 4 จำนวน 2.2 ล้านบาท, ที่ 5 จำนวน 7.5 แสนบาท ที่ 6, 7 และ 8 จำนวน 2.25 ล้านบาท, ที่ 9 และ 10 จำนวน 7.5 แสนบาท
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วว่า มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อมกรณีมาสืบให้รับฟังได้อย่างมั่นคงว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสามและผู้เสียหายและชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมแล้วหลบหนีไป โดยจำเลยมิได้ลุแก่โทษเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและสารภาพความผิด แต่ได้ความว่า เจ้าพนักงานตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวงเพื่อขอออกหมายจับจำเลย ลำพังพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาก็เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว
ฉะนั้น การที่จำเลยรับสารภาพเป็นเพราะเกิดจากจำนนต่อหลักฐาน การที่จำเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และฆ่าผู้อื่น เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณ ไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงแม้จำเลยชดใช้ความเสียหายเพื่อบรรเทาผลร้ายสำนึกผิด
หรือมีคุณความดีดังที่อุทธรณ์ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสมควรใช้ดุลยพินิจลดโทษให้แก่จำเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยไม่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้นย่อมเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยจึงยื่นฎีกาขอให้ศาลลดโทษ จนกระทั่งนัดอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ ทำให้คดีถือเป็นที่สิ้นสุด