
11 เมษายน 256 ความขัดแย้งระหว่าง "ชูวิทย์" กับ "ทนายตั้ม" คงไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เจ้าของฉายา "จอมแฉ" อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้เข้าร้องเรียนกับสภาทนายความ ให้สอบมรรยาททนายตั้ม พร้อมจี้ให้เพิกถอนใบอนุญาตว่าความอีกด้วย
ล่าสุด "ชูวิทย์" ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ระบุถึงเหตุผลในการร้องเรียน "ทนายตั้ม" ต่อ "สภาทนายความ" ระบุว่า..
ทนาย กับ ช่างทาสี อาชีพที่เปลี่ยนขาวเป็นดำได้
.
วันนี้ไปสภาทนายความร้องเรียน “มรรยาททนายความ”
.
การมีวิชาชีพทนายต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม เพราะเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนต้องพึ่งพาเมื่อมีคดีความ
ผมไม่เคยมีเรื่องบาดหมางโกธรเคืองกับทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม มาก่อน
.
อีกทั้ง ทนายตั้มก็ไม่เคยเป็นทนายฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งขัดใจกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่จู่ๆ ทนายตั้มก็ออกมาโจมตีผมโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จัดแถลงข่าวกล่าวหาผมสารพัด
.
ลามไปถึงลูกชายผมว่าได้รับเงิน 50 ล้าน เป็นเงินดิจิตอล รวมทั้งพฤติกรรมหลายอย่างที่ทนายตั้มได้รับฟังเพียงการบอกเล่ามา ไม่มีหลักฐานใดๆ และตัวทนายตั้มเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
.
การเป็นทนายแล้วกระทำการแบบนี้ จึงเสมือนหาเรื่องให้มีคดีความเกิดขึ้น
ผมรู้จักทนายมามาก และรู้ว่าคุณค่าของทนายสำคัญแค่ไหน หากเลือกทนายผิด ผลจะเป็นอย่างไร
.
การที่ทนายมานั่งแถลงข่าวซัดใครที่ไม่ได้รู้จัก ไม่ได้มีเรื่องโกธรเคืองกันมาก่อน ย่อมมีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน
.
ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ทนายจะมากล่าวหาผู้อื่น แล้วอ้างทำเพื่อสังคม โดยไม่หวังผล หรือนัยยะใดแอบแฝง
.
มีเพียงทนายตั้มเท่านั้นที่จะทราบได้ ว่ามีใครสั่งการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผมเชื่อว่ามีแน่
.
หากทนายตั้มมีคุณธรรม ควรจะสอบถามผมก่อน ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แทนที่จะจัดแถลงข่าวโจมตี
.
เป็นผู้รู้กฎหมาย ใช้เป็นวิชาชีพหาเลี้ยงตน และครอบครัว ย่อมทราบดีว่าการฟังความข้างเดียว ทั้งที่มีข้อสงสัยคลุมเครือ สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ความเป็นธรรม และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง
.
ไม่ใช่นึกถึงแต่ความดังจากการโจมตี เพื่อประโยชน์ในการหาทางได้ของตนเอง
ทนายตั้มยังอายุไม่มาก การถูกหลอกใช้ หรือเต็มใจให้ใช้จึงเกิดขึ้นได้ เพราะความต้องการให้คนยอมรับนับถือ มีเรื่องโด่งดังฮือฮา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
.
ผมเป็นคนที่ขึ้นมาแทบทุกศาล จะมากสุดก็ว่าได้ ตั้งแต่ศาลแพ่ง ศาลอาญาทุกศาล (อาญารัชดา อาญาใต้ อาญาสนามหลวงปัจจุบันรื้อไปแล้ว)
.
อีกทั้งศาลแขวง ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปจนถึงศาลรัฐธรรมนูญ (คดีถูกปลดจาก ส.ส. ขณะสังกัดพรรคชาติไทยปี 2548)
.
จึงรู้ซึ้งเข้าใจคนเป็นทนายดี
.
ทนายต้องมีคุณธรรม หากแพ้แน่ๆ แต่ยุยงว่าชนะ หรือหากชนะ แต่ไปแกล้งสู้ให้แพ้ ก็ทำได้
.
บางคดีผมเลือกไม่ใช้ทนาย สารภาพกับศาลตรงๆ ดีกว่า เพราะ
.
“สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ”
.
คร้้งสุดท้ายที่ผมติดคุก 1 เดือน เพราะผมเลือกสารภาพในคดีรายงานทรัพย์สินไม่ครบถ้วนตอนเป็น ส.ส. โดยรายงานขาดไป 150,000 บาท
.
ใช่ครับ ฟังไม่ผิด 150,000 บาท
.
แต่เป็น “กฎหมายปิดปาก” จะน้อยจะมาก ผิดคือผิด และผมทราบดีว่าออกจากคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่สามารถรอลงอาญาได้
.
แต่ผมก็เลือกสารภาพเดินเข้าคุก 1 เดือน ให้มันจบๆ ไป
แก๊งทนายวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อ โดยหยิบยกเอาคดีที่ไม่ได้รู้พยานหลักฐานครบถ้วนมาวิเคราะห์ชี้นำสังคม ให้ความรู้ทางกฎหมายที่ผิดๆ
.
พูดหน้าสื่อ หน้าไมค์ ออกกล้องเก่ง แต่ไม่ได้มีความสามารถในทางกฎหมายจริงๆ
.
เมื่อไปอยู่ต่อหน้าบัลลังค์ กลับถูกทนายฝั่งตรงข้าม หรืออัยการสอนมวยเสียคน เพียงแต่ไม่มีใครได้เห็นเป็นข่าว
.
ทนายที่งานมากไม่ได้หมายความว่าเก่ง ควรเอาทนายที่มีเวลาในการทำคดีให้เรา ศึกษาข้อกฎหมายอย่างถี่ถ้วน
.
หากไปเลือกทนายที่งานมาก แน่นอนว่าค่าว่าความก็สูงตาม แต่ไม่มีเวลาให้ลูกความ
“ ความยุติธรรมไม่ได้มาจากราคา แต่มาจาก คุณธรรม ”
ผมจำต้องร้องเรียนทนายตั้มต่อสภาทนายความ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ทนายคนอื่นๆ และไม่ให้กลับมากระทำการในทำนองนี้อีก
.
ทนายเปรียบเสมือนช่างทาสี ที่สามารถเปลี่ยนสีขาวเป็นดำ หรือดำเป็นขาวได้
.
พลิกแพลงเรื่องได้ตามที่ต้องการ หากเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม ไว้ใจไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่อสังคม
.
หากคนไหนพบทนายที่ปฏิบัติตัวผิด เช่น หาเรื่องให้เกิดคดี จัดแถลงข่าวหาแสง ก็สามารถร้องสภาทนายความได้
.
อย่าให้ทนายกลายเป็นช่างทาสีเลยครับ มันเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง
.
จะเข้าคุก หรือจะกลับบ้าน ก็เพราะทนายนี่ล่ะครับ
ที่มา :