
5 เมษายน 2566 เวลา 13.00 น. ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางพบ ร.ต.อ.หญิง สไบนาง ศิริมนตรี รอง สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งเอาผิด ขบวนการร่วมกันลักทรัพย์รถยนต์ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน , ร่วมกันรับของโจร , ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และ ใช้เอกสารราชการปลอม “
โดยนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง อาทิ หนังสือมอบอำนาจ จาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ใบแต่งตั้งทนายความ และเอกสารแชทไลน์ รายงานลงบันทึกประจำวัน ที่ สน.ตลิ่งชัน มามอบให้ พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
นายอัจฉริยะ กล่าวว่าได้รับมอบอำนาจจาก “ผกก.โจ้” ให้มาดำเนินคดีกับขบวนการที่ร่วมกันลักรถยนต์ของ ผกก.โจ้ ไปขาย โดยมี พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ และลูกชายที่เป็นตำรวจ เป็นตัวการ ร่วมกับทนายความ และบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเมื่อปี 2564 หลัง ผกก.โจ้ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำแล้วนั้น พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งขณะนั้นเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบก.ภ.6)รับผิดชอบดูแลคดีนี้ ได้บอกว่าจะจัดการทุกอย่าง รวมถึงหาทนายความให้
แต่ต่อมา พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับ ลูกชาย กลับร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อลักรถที่เก็บไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ 2 คัน และที่บ้านที่รามอินทราอีก 11 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ยี่ห้อ Toyota Camry ,BMW ,Porsche , Volkswagen ,Ford รวมมูลค่ากว่า 25 บ้านบาท และเป็นป้ายทะเบียนราคาแพง ไปขายต่อ เพราะเห็นว่าด้วยอัตราโทษ ผกก.โจ้ ไม่น่าจะได้ออกมาจากเรือนจำแล้ว
นายอัจฉริยะ อธิบายที่ไปที่มาของเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2564 ผกก.โจ้ ได้มอบอำนาจให้ น.ส.จูน น้องสาว เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีอำนาจทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ และรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์แทน โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เซ็นรับรองเอกสาร ต่อมา ทนายณัฐ ทนายความของ ผกก.โจ้ ได้แชทมาหาน้องสาวของผกก.โจ้ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ติดต่อกับพี่ชายเพราะเป็นช่วงโควิด โดยทนายณัฐ มาหลอกน้องสาวว่า ให้ถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ระบุว่าใช้ซื้อขายโอนรถยนต์ของ ผกก.โจ้ พร้อมให้เซ็นใบซื้อขายรถยนต์ ที่เป็นเอกสารเปล่ายังไม่ได้กรอกรายละเอียด จำนวน 10 ชุด
ก่อนที่ภายหลัง เมื่อน้องสาวสามารถติดต่อกับ ผกก.โจ้ ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกให้เซ็น เพราะ ผกก.โจ้ บอกว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะขายรถยนต์ น้องสาวจึงทวงถามไปยังทนายณัฐ ขอเอกสารที่เซ็นไปบอกว่าให้ส่งคืนพร้อมกับไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ซึ่งทนายณัฐ ได้แชทตอบน้องสาว ผกก.โจ้ ว่า เอกสารทั้งหมด ได้ส่งให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ รอง สว. สอบสวน สน.ทองหล่อ หรือ เบิร์ด ลูกชายของพล.ต.ต.เอกรักษ์ และมีแชทที่ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ตอบว่า รับทราบแล้วว่าน้องสาว ผกก.โจ้ มาขอเอกสารคืน พร้อมพิมพ์บอกรายละเอียดว่ามีรถอะไรบ้างที่เอาไปโอนขายแล้ว
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการเซ็นโอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครอบครองรถของ ผกก.โจ้ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชายพล.ต.ต.เอกรักษ์ โดยนายอัจฉริยะ ระบุว่า ทั้งหมดเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นมา และมีการปลอมลายมือชื่อของ ผกก.โจ้ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า ลักษณะการเซ็นไม่เหมือนกัน และการที่ ผกก.โจ้ อยู่ในเรือนจำ ก็ต้องมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รับรองด้วยแต่ไม่มี ซึ่งเชื่อได้ว่า ขบวนการนี้มีบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งร่วมมือด้วยในการปลอมแปลงเอกสาร
นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยรูปภาพจากเฟซบุ๊กของลูกชายพล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่โพสต์รูปขายรถ ที่เป็นรถของ ผกก.โจ้ โดยมีการนำป้ายทะเบียนอื่นมาสวม และยังมีรูปรถเบนซ์ของพล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่นำป้ายทะเบียนของรถ ผกก.โจ้ ไปสวมด้วย รวมถึงหลักฐานอื่นอีกจำนวนมาก ทั้งไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง และแชทไลน์ ที่ยืนยันว่าลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นำรถของ ผกก.โจ้ ไปขายจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ น้องสาวของ ผกก.โจ้ได้พยายามทวงถาม ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็บอกว่าจะเอาเงินมาคืนให้ แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป
โดยนายอัจฉริยะ บอกว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ควรลาออกจากตำแหน่ง รองเลขาธิการ ปปง. เพราะมีเรื่องที่กระทำไม่เหมาะสมอีกมาก ผกก.โจ้ ได้เล่าให้ตนฟังในเรือนจำว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ทำอะไรไว้บ้าง ซึ่งตนจะเก็บข้อมูลไว้เปิดเผยต่อไปหลังจากนี้ รวมถึงเรื่องที่ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ด้วย ซึ่งตนมั่นใจว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไม่มีทางรอด ตนจะไปร้องที่ ป.ป.ช. พร้อมฝากบอกว่า ที่ไปแจ้งความตนที่ สน.พหลโยธิน เป็นแค่เรื่องเด็กๆ แต่ที่ตนมาแจ้งนี้เป็นของแท้