
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักส่งเสริมการแข่งขันและกำกับดูแลกันเอง สำนักงาน กสทช. ร่วมกับ สภาองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชน ร่วมกันจัด Focus Group เพื่อรับฟังความคิดเห็น ต่อ (ร่าง) แนวปฏิบัติ 2 ฉบับ ได้แก่ 1. (ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก และ 2. (ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง โดยมี นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานยกร่างฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานพร้อมกับนำเสนอ ร่างแนวปฏิบัติการรายงานข่าว ทั้งสองฉบับ
กิจกรรมระดมความคิดเห็นครั้งนี้ แบ่งเป็นสองช่วง โดยภาคเช้า มีการเชิญ ผู้บริหารและตัวแทนองค์กรสื่อมวลชน จากสถานีวิทยุ โทรทัศน์ หลายแห่ง มาร่วมให้ความคิดเห็น ถัดจากนั้นในภาคบ่ายเป็นการเชิญ องค์กรภาคประชาสังคม ผู้แทนหน่วยงานรัฐ กองทัพ มาร่วมให้ความเห็น
การระดมความคิดเห็นครั้งสำคัญนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก กสทช. ร่วมกับ 3 สภาองค์กรวิชาชีพสื่อ ได้แก่ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มีความเห็นร่วมกันว่า สมควรที่จะมีแนวปฏิบัติในการรายงานข่าว ให้เป็นแนวทางที่สร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพในการรายงานข่าวเพื่อประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองสิทธิเด็ก คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการรายงานข่าวสำหรับสื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อเป็นสื่อกลางในการป้องกัน เตือนภัย ลดผลกระทบจากความรุนแรงของเหตุการณ์ และร่วมสร้างระบบนิเวศสื่อที่ส่งเสริม ปกป้อง คุ้มครอง สิทธิมนุษยชนที่ยั่งยืนต่อไป
สำหรับ ( ร่าง ) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวฯ ทั้งสองฉบับ ได้รับเสียงตอบรับจากผู้แทนองค์กรสื่อ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นอย่างดี เนื่องจากมีการศึกษาวิเคราะห์ ข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศมาอย่างรอบด้าน ก่อนรวบรวมมาสรุปเป็นแนวปฏิบัติการรายงานข่าว ด้วยความระมัดระวัง และรับผิดชอบ
ภายหลังจากที่ประชุมให้ความเห็นแล้ว คณะทำงานยกร่างฯ จะรับไปปรับปรุงก่อน เสนอ ให้กับ 3 สภาองค์กรวิชาชีพสื่อ เห็นชอบในขั้นตอนสุดท้าย และนำเสนอ กสทช. เพื่อประกาศใช้ต่อไป
พร้อมกันนี้ กสทช.ได้รับข้อเสนอแนะในการจัดทำ แนวปฏิบัติการรายงานข่าวฯทั้งสองฉบับ เผยแพร่ผ่านเว็ปไซต์ กสทช. พร้อมกับการจัดทำเป็นรูปเล่ม ในลักษณะเป็นคู่มือการทำงาน มอบให้ องค์กรสื่อต่างๆ และผู้สนใจ ต่อไป
สำหรับ (ร่าง)แนวปฏิบัติการรายงานข่าวทั้งสองฉบับ มีเนื้อหาที่น่าสนใจหลายหมวดด้วยกัน อย่าง(ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก จัดทำไว้ 6 หมวด เช่น
หมวดที่ 2 การรายงานข่าวเด็กในสถานการณ์ทั่วไป
ระบุไว้ใน ข้อ 2 อย่างน่าสนใจว่า "สื่อมวลชนต้องไม่เปิดเผยอัตลักษณ์ของเด็ก สมาชิกในครอบครัว หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่จะทำให้สามารถรู้ถึงตัวเด็กอันอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดของเด็ก หรือเพื่อแสวงหาประโยชรน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เว้นแต่การเผยแพร่ข้อมูลนั้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเด็ก เช่น การติดตามตัวเด็กสูญหายื การนำเสนอความสามารถของเด็ก หรือสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเด็ก โดยต้องขออนุญาตอย่างถูกต้องและต้องไม่ส่งผลกระทบในทางลบแก่เด็ก"
หรือ หมวดที่ 4 หลักการรายงานข่าวเด็กที่ได้รับผลกระทบหรือเป็นผู้เสียหาย ระบุไว้ในข้อ 8 “สื่อมวลชนต้องไม่นำเสนอภาพ ภาพเคลื่อนไหว ภาพจำลองเหตุการณ์ หรือเนื้อหาอื่นใดที่สร้างโดยใช้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีลักษณะลามก อนาจาร โป๊เปลือย อุจาดของเด็ก รวมถึงภาพเด็กที่ถูกทำร้าย ถูกทารุณ ถูกคุกคามหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ภาพการเสียชีวิตของเด็ก หรือโศกนาฏกรรมอันเกิดแก่เด็ก ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง” เป็นต้น
ขณะที่ (ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง แบ่งเป็น 6 หมวด เช่นกัน
หมวดที่ 1 ว่าด้วยคำนิยาม สื่อมวลชน , จริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน ,อาชญากรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน หรือ แม้แต่ นิยาม ว่าด้วย "อัตลักษณ์” เป็นต้น
หมวดที่ 2 หลักการทั่วไปในการรายงานข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง ระบุเรื่องการใช้เอไอ ไว้ในข้อ 5 สื่อมวลชนพึงระมัดระวังการบรรยายรายละเอียดของเหตุการณ์ การนำเสนอภาพ ภาพเคลื่อนไหว ภาพจำลองเหตุการณ์ เสียงประกอบ หรือเนื้อหาอื่นใดที่สร้างโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับความรุนแรง ของเหตุการณ์ สภาพผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตที่มีลักษณะสยดสยอง อุจาด สะเทือนขวัญ สร้างความตระหนก สลดใจ หรือเร้าอารมณ์อื่นใด ตลอดจนการนำเสนอวนซ้ำที่เป็นการซ้ำเติมความทุกข์หรือตอกย้ำความรุนแรง ของเหตุการณ์
หรือ หมวดที่ 3 หลักการรายงานเหตุฆ่าตัวตาย ปรากฎข้อ 11 อย่างน่าสนใจ ว่า สื่อมวลชนพึงระมัดระวังการใช้ภาษา น้ำเสียง ข้อมูล ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ภาพประกอบ เสียงประกอบ ภาพจำลองเหตุการณ์ หรือเนื้อหาอื่นใดที่สร้างโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ ( AI ) เนื้อหาที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์สร้างขึ้น รวมถึงการจัดวางตำแหน่งและพื้นที่ของข่าวหรือระยะเวลาในการนำเสนอที่ทำให้ข่าวการฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายมีลักษณะโดดเด่น กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก ความสะเทือนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีชื่อเสียง ดารา ศิลปิน
นอกจากนี้ หมวดที่ 4 หลักการรายงานเหตุล่วงละเมิดทางเพศ ,หมวดที่ 5 หลักการรายงานเหตุกรายดยิง และ หมวดที่ 6 หลักการรายงานเหตุสู้รบ
โดยเฉพาะหมวดที่ 6 หลักการรายงานเหตุสู้รบ ปรากฎข้อที่ 21 ไว้อย่างน่าสนใจ สื่อมวลชนพึงระมัดระวังการนำเสนอในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจว่าการสู้รบเป็นการแข่งขันหาผู้ชนะหรือผู้แพ้ พึงเสนอข่าวโดยให้ความสำคัญต่อหลักมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้าวยสงคราม ( Rules of war )
สามารถดาวน์โหลด(ร่าง) แนวปฏิบัติการรายงานข่าวทั้งสองฉบับเพื่อนำไปศึกษาได้ ที่นี่