จากกรณีชายเก็บของเก่าวัย 50 ปี มีระเบิดเอ็ม 61 พร้อมใช้งาน และจับตัวหญิงวัย 54 ปี เป็นตัวประกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเกลี่ยกล่อมกว่า 4 ชั่วโมง แต่ไม่เป็นผล กระทั่งผู้ก่อเหตุเผลอทำให้ตัวประกันวิ่งหนีออกมา ทำให้ผู้ก่อเหตุวิ่งตาม และทำทีจะขว้างระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจยิงปืนสะกัดจนผู้ก่อเหตุได้รับบาดเจ็บล้มลง ก่อนเข้าความคุมสถานการณ์ไว้ได้นั้น
หลังเกิดเหตุมีหลายหน่วยงานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจ ซึ่งเป็นจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ลงพื้นที่ชุมชนเทพารักษ์ จาก 3 หน่วยงาน คือ
ทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ ทีมเยียวยาจิตใจ รพ.ขอนแก่นและศูนย์แพทย์มิตรภาพ รพ.ขอนแก่น ลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเหตุการณ์ความรุนแรงจับตัวประกันที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิต จากเหตุวิกฤติ ที่ชุมชนเทพารักษ์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น
นายแพทย์ธนวัฒน์ ขุราศี นายแพทย์ปฏิบัติการ ทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ชุมชนเทพารักษ์ พื้นที่เกิดเหตุความรุนแรงสะเทือนขวัญนั้น ทางโรงพยาบาลจะมีทีมเยียวยาจิตใจ ที่จะลงในพื้นที่ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่ามีผู้ได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร เมื่อมีการพูดคุยกับชาวบ้านแล้ว ประเมินว่าจะมีผลกระทบทางด้านจิตใจ ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา จากการลงพื้นที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ 30 คน พบว่ามีกลุ่มเสี่ยง 7 คน เป็นผู้ใหญ่ 5 คน และเด็ก 2 คน
“หลังจากเกิดเหตุแล้ว ทีมสหวิชาชีพได้นำแบบประเมินลงพื้นที่เพื่อนำมาวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคทางจิตใจที่เกิดจากเหตุสะเทือนขวัญหรือไม่ พบว่ากลุ่มเสี่ยงมีสภาวะทางจิตใจ ทั้งนอนไม่หลับ ตกใจ วิตกกังวล ต้องปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ บางรายผวา รู้สึกไม่มีความสุข ฝันร้าย เมื่อเกิดอาการในลักษณะนี้ทางแพทย์จะประเมินอาการ 1 เดือน หากเกิน 1 เดือนแล้วอาการยังคงอยู่ ทางแพทย์จะประเมินอีกครั้งว่าเข้าข่ายซึมเศร้าหรือไม่ เพื่อวินิจฉัยเป็นโรคทางจิตใจที่เกิดจากเหตุสะเทือนขวัญหรือไม่ ที่สำคัญคือไม่ซักถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรง เพราะหากพูดซ้ำๆเหมือนไปกระตุ้นความรู้สึกอีกรอบ” นายแพทย์ธนวัฒน์
สำหรับกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 คน นั้น จากการพูดคุย พบว่า มีอาการผวา วิตกกังวล นอนไม่หลับ บางรายเมื่อพบเห็นกลุ่มคนแร่ร่อน กลุ่มคนเก็บขยะ คนมีถุงเป้ขนาดใหญ่ ที่ไม่รู้ว่ามีวัตถุอะไร กลุ่มเสี่ยงจะมีการเชื่อมโยงคนที่มีลักษณะคล้ายกันจะเริ่มกลัว จากรายงานมีกลุ่มเสี่ยง 2 รายที่มีอาการหนัก ทางทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจจะให้ศูนย์แพทย์มิตรภาพ รพ.ขอนแก่น ลงประเมินอาการ สอบถามอาการ หากอาการยังคงรุนแรง ทางโรงพยาบาลโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จะให้ส่งตัวเข้ามาที่โรงพยาบาลเพื่อรักษาและทำจิตบำบัด
“จากการประเมินสำหรับในกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่ขอนแก่นนั้น ทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจ อยู่ในขั้นสังเกตอาการ เก็บรบรวมข้อมูลกลุ่มอาการ จะถึงขั้นเป็นโรคหรือไม่ ยังไม่มีกลุ่มเสี่ยงขั้นรุนแรงที่ต้องนำตัวมารักษา แต่หากมีกลุ่มเสี่ยงที่ยังปรับตัวไม่ได้ จะให้พูดคุยกับนักจิตบำบัดแบบประคับประคอง ดูแลในภาวะฉุกเฉิน หากมีอาการนอนไม่หลับ จะให้ยานอนหลับแบบประคับประคอง”
นอกจากนี้นายแพทย์ธนวัฒน์ ใช้เหตุการณ์กราดยิงที่เทอร์มินอล 21 ซึ่งได้ลงพื้นที่ไปดูแลสุขภาพจิตประชาชนที่ได้รับผลกระทบ มาถอดบทเรียน โดยมองว่า สำหรับประชาชนและผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ ที่มีส่วนสำคัญตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงหลังเกิดเหตุ โดยระหว่างที่เกิดเหตุความรุนแรงไม่ควรถ่ายทอดสด เพราะจะกระตุ้นให้สถานการณ์เกิดความรุนแรง อย่ารายงานรายละเอียดของวิธีการดำเนินกการของตำรวจ เพราะอันตราย เพราะบางเคสคนร้ายจะสามารถติดตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ได้ตลอด
“ส่วนหลังเกิดเหตุ ต้องคำนึงถึงการลอกเลียนพฤติกรรม การก่ออาชญากรรม ซึ่งนักข่าวมีส่วนสำคัญมากในการสื่อสาร จากงานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกา มีข้อมูลว่า หากนักข่าวบอกวิธีการก่ออาชญากรรมแบบละเอียดถึงวิธีการก่อเหตุ การใช้ชีวิตของคนร้าย จะทำให้เกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอารมณ์ร่วม และไปเร้าอารมณ์คนที่มีพื้นหลังคล้ายกับคนร้าย อาจจะมีความรุนแรงตามมาได้ การนำเสนอข่าวคนร้ายควรให้ข้อมูลแบบผิวเผิน อย่าตั้งฉายาให้คนร้าย บางทีคนที่มาติดตามจะมีความรู้สึกว่าการก่อเหตุความรุนแรงทำให้มีชื่อเสียงในแง่ร้าย”นายแพทย์ธนวัฒน์ กล่าว
ข่าว -กวินทรา ใจซื่อ
ภาพ-ทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ จ.ขอนแก่น