svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สธ.ยกระดับระวัง"ฝีดาษลิง"เข้าปท. ดึงกรมวิทย์-จุฬาฯ ตรวจเชื้อที่สนามบิน

23 พฤษภาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินฯ เฝ้าระวังป้องกัน "ฝีดาษลิง" เน้นคัดกรองผู้เดินทางประเทศเสี่ยงสูง พร้อมเฝ้าระวังในสถานพยาบาล หากพบผู้ป่วยเข้าข่ายให้เก็บตัวอย่างส่งดึงแล็บกรมวิทย์-จุฬาฯตรวจเชื้อ

23 พฤษภาคม 2565 นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) กรณี โรคฝีดาษลิง (monkey pox) ที่กระทรวงสาธารณสุข ว่า กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด ช่วยให้ตรวจจับกลุ่มเสี่ยงได้รวดเร็วขึ้น และป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดในหลายประเทศ และสามารถติดต่อจากคนสู่คน 

 

“ไทยต้องรีบยกระดับศูนย์ขึ้นมา เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ทัน เพราะโรคนี้ยังไม่มียาเฉพาะรักษา ต้องรักษาประคับประคอง แม้ว่าในประเทศยังไม่มีผู้ติดเชื้อนี้และประเทศไทยก็ไม่เคยเจอโรคนี้มาก่อน รวมถึง การจัดตั้งศูนย์ฯเป็นระดับกรมเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศก่อน ว่าแต่ละประเทศมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ที่พอจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนั้นๆที่กำลังมีการระบาด มีการแพร่ระบาดถึงระดับไหน ซึ่งข้อมูลคงจะทยอยเข้ามา ” นพ.จักรรัฐกล่าว   

 

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์

สำหรับการเฝ้าระวังโรคภายในประเทศ คือ คนที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งที่ด่านที่สนามบินต่างๆอาจจะไม่เห็นอาการ เพราะว่าตอนเริ่มต้นอาการอาจจะน้อยหรือไม่มีอาการ แต่เมื่อมาถึงประเทศไทย เกิดตุ่มหนอง ตุ่มน้ำ จะเน้นเฝ้าระวังในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงทั้งประเทศแอฟริกากลาง เช่น ไนจีเรีย และคองโก และประเทศในยุโรปที่มีการแพร่ระบาดภายในประเทศแล้ว คือ อังกฤษ สเปน โปรตุเกส 

 

ทั้งนี้ ที่สนามบินจะมีการคัดกรองอาการในผู้เดินทางมากับไฟลท์บินจากประเทศเหล่านี้ ดูว่ามีแผลหรืออะไรหรือไม่แบบเดินผ่านๆ และแจกบัตรเตือนสุขภาพ(Health beware card) เป็นคิวอาร์โค้ดให้สแกนทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศดังกล่าว ซึ่งหลักๆจะระบุว่าหากมีอาการ เช่น ไข้ มีตุ่มให้รายงานเข้าระบบและรีบไปพบแพทย์ในรพ.ที่ใกล้ที่สุด รวมถึง แจ้งประวัติการเดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย

 

นอกจากนี้ จะมีการเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล โดยหากพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย คือมีอาการเข้าได้กับโรคและมีประวัติเดินทางจากประเทศเสี่ยงที่กำลังมีโรคนี้ระบาดข้างต้น ให้สถานพยาบาลเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ ซึ่งประเทศไทยสามารถตรวจเชื้อนี้ได้ แต่ยังทำได้ที่ส่วนกลางคือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และรายงานเข้าระบบการเฝ้าระวัง  

 

อย่างไรก็ตาม  หากมีผู้ติดเชื้อเข้าในประเทศไทย อาจจะต้องมีกระจายให้ศูนย์ในต่างจังหวัดช่วยตรวจ  

 

สธ.ยกระดับระวัง"ฝีดาษลิง"เข้าปท. ดึงกรมวิทย์-จุฬาฯ ตรวจเชื้อที่สนามบิน

 

ส่วนการป้องกัน จะต้องมีการปลูกฝีป้องกันฝีดาษใหม่หรือไม่นั้น นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ตอนนี้ทั่วโลกยังไม่มีวัคซีน smallpox มากขนาดนั้นแล้ว เพราะเป็นโรคที่ถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว จะมีเพียงบางประเทศที่ยังเก็บวัคซีนนี้ไว้ 

 

“ ในประเทศไทยไม่มีวัคซีน กำลังมีการประสานงานหาวัคซีนอยู่ว่ามีประเทศใดเก็บไว้บ้าง หรือถ้าจะผลิตเพิ่มก็ต้องดูว่ามีบริษัทใดจะผลิตเพิ่มได้บ้าง เพราะคงต้องใช้เชื้อ ซึ่งเชื้อ smallpox เดิมมีแค่ 2 ประเทศที่เก็บไว้ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย แต่ก็สามารถจำลองสายพันธุ์ออกมาทำวัคซีนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวจริง ”

 

ทั้งนี้ คนไทยที่เกิดก่อนปี 2523 จะได้รับการปลูกฝีป้องกันฝีดาษ (smallpox) ทุกคน  แต่ที่เกิดหลังจากปี 2523 จะไม่ได้รับวัคซีนนี้เพราะโรคฝีดาษถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว 

 

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาสตร์การแพทย์  กล่าวว่า  กรมวิทยาศาสตร์ฯ  ได้ตั้งห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เพื่อตรวจหาเชื้อโรคฝีดาษลิงในผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อแล้ว หากผู้ที่มีผื่น ตุ่มหนองตามร่างกาย ทางสถานพยาบาลก็สามารถสวอป(Swab)เชื้อบริเวณแผล ส่งตรวจ RT-PCR ได้ที่แล็บซึ่งมีน้ำยาตรวจเฉพาะ และใช้เวลารอผลเหมือนกับการตรวจโควิด-19

 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

 

ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า หากเชื้อนี้เข้ามาในประเทศไทย ไม่ต้องกังวล ไทยมีศักยภาพในการตรวจหาเชื้อนี้ อย่างของศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ  จุฬาฯ สามารถตรวจไวรัสจากฝีดาษลิงได้ โดยใช้ระยะเวลา 1-2 วัน  เนื่องจากต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการ 

 

การตรวจหาเชื้อได้เร็ว และการกักตัวกลุ่มเสี่ยงได้ย่อมช่วยป้องกันการแพร่ระบาดได้ เพราะโรคนี้ไม่มียารักษา  อย่างประเทศที่มีการพัฒนาทางการแพทย์ อัตราเสียชีวิตมีน้อยกว่า 1%  ส่วนกลุ่มเสี่ยง ยังต้องระวังในเด็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ส่วนผู้สูงอายุเคยได้มีการปลูกฝี หรือรับวัคซีนฝีดาษไปก่อนหน้านี้  ยังไม่มีใครตอบได้ว่า ภูมิคุ้มกันจะยังคงอยู่หรือไม่

 

สธ.ยกระดับระวัง"ฝีดาษลิง"เข้าปท. ดึงกรมวิทย์-จุฬาฯ ตรวจเชื้อที่สนามบิน
 

logoline