16 พฤษภาคม 2565 วานนี้(15 พ.ค.) ที่ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน เครือเนชั่นกรุ๊ปจัดเวทีดีเบต ประชันวิสัยทัศน์ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ‘โค้งสุดท้าย.. ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. 65”
มีผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 ราย ร่วมประชันวิสัยทัศน์ ประกอบด้วย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 1 นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 3 นายสุชัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 4 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 8 และนาวาตรีศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 11 ส่วนอีกหนึ่งท่านที่มีการเชิญไปแต่ไม่ได้เดินทางมาคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจ
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนที่เป็นกลุ่มนิวโหวตเตอร์ และประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของกทม.ที่ผ่านไปมาบริเวณศูนย์การค้า และแนวรถไฟฟ้ามาร่วมรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครแต่ละหมายเลขด้วย
โดยที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.แต่ละคนได้ใช้เวลาในการแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อต่างๆอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับแนวนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง
ช่วงแรก ของการแสดงวิสัยทัศน์ เป็นการจับคู่ ตอบคำถามจากประชาชน
คำถามแรก “สิทธิ์ของคนพิการต้องเท่าเทียม โดย น.ต.ศิธา และ นายสกลธี เป็นผู้ตอบ
น.ต.ศิธา กล่าวว่า คนที่ถูกละเลยมาตลอด อันดับแรกคือ สิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิที่ครอบคลุมทั้งหมดของคนพิการและกรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานของรัฐ ไม่เคยให้ความสำคัญ และไม่เคยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง อันดับแรกสิ่งอำนวยความสะดวกทางสัญจรไปมา กรุงเทพมหานคร พูดมาตลอดว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งคนพิการไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างเดียวแต่อยู่หลังสุด เช่น สกายวอร์กคนพิการเขาไม่ได้มองเห็นเหมือนคนทั่วไป เพราะไม่ได้ใช้งาน จึงมองว่าเป็นอัตลักษณ์
ดังนั้นหน่วยงานกรุงเทพมหานคร จะต้องทำให้คนทุกคนเข้าถึงการบริการของภาครัฐ หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้งหมด ต้องส่งเสริมการสร้างงานให้กับคนพิการ โดยหน่วยงานของกรุงเทพมหานครต้องมีโควตาเข้ารับทำงาน เช่นเดียวกันต้องมีการรับเขาเพิ่มทักษะ เข้าไปศึกษาอาชีพ ส่งเสริมให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครและหน่วยราชการอื่นๆ เรื่องงบประมาณที่จะใช้ถ้าจะมีสิ่งปลูกสร้างหากมีผู้ว่าฯ ชื่อ ศิธา สเปคงานที่โผล่ออกมา ถ้าคนพิการเข้าถึงไม่ได้ตนจะไม่ให้ผ่าน จะต้องมีการจัดงบประมาณให้คนพิการเข้าถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่กรุงเทพมหานครไม่เคยจริงจังมาก่อน
ขณะที่ นายสกลธี กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิทธิที่จะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ตนได้เคยคุยกับคนพิการ หลากหลายเขาเหล่านั้นไม่ได้ต้องการความสงสาร แต่ต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง ในสังคมเหมือนคนปกติคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นในยุคของผู้ว่าฯที่ชื่อ สกลธี อย่างแรกคือ สถาปัตย์ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางของผู้พิการจะหมดไป ที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งการคมนาคมขนส่ง รวมไปถึงทางเท้า
นอกจากนี้คือ การให้ความรู้กับผู้พิการ ซึ่งในชั้นประถมนั้นไม่มีปัญหา แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมและมัธยมปลาย ที่จะรับคนพิการยังมีโรงเรียนน้อยมากที่จะรับผู้พิการ ทั้งด้านสติปัญญาและร่างกาย ซึ่งผู้ว่าฯที่ชื่อ สกลธี จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องทำให้ผู้พิการเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม รวมถึงการประกอบอาชีพ หน่วยงานกรุงเทพฯจะต้องจ้างผู้พิการตามกฎหมายอย่างน้อย 1% หน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน ก็ไม่มีหน่วยงานไหนจ้าง ก่อนตนออกมาจากรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จ้าง 300 กว่าตำแหน่ง
แต่หากตนได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯจะจ้างให้ครบ 1% เป็นหน่วยงานแรกของเมืองไทย การจ้าง จะต้องไม่มีข้อจำกัดเยอะ จะต้องวุฒิปริญญาตรีหรืออะไร แค่จ้างตามวุฒิม. 6 / ม. 5 / มหาลัย ได้ทุกคน ต้องทำให้อาชีพของเขาอยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรี ตนเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถึงจุดหนึ่งอาจจะต้องมีวิชาชีพให้กับผู้พิการเรียน ซึ่งวันนี้ก็ทำแล้วคือ ปลูกพืชเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ให้เขาอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี
มาถึงคำถามที่ 2 จากภาคธุรกิจ อยากเห็นกทม. เป็นเมืองอัจฉริยะ ผู้ที่ตอบคือ นายสุชัชวีร์ และ นายวิโรจน์
นายคุณสุชัชวีร์ กล่าวว่า ตนพูดชัดทุกเวลาในการใช้เทคโนโลยีหยุดปัญหาซ้ำซาก พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เมืองอัจฉริยะคือการคืนความสุขให้ประชาชนด้านความปลอดภัย และคืนเวลาให้กับประชาชน ตลอด 4 ปี กทม.ต้องได้ใช้เน็ตฟรี เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในการบริการ โดยหากทำไวไฟฟรีแล้ว จะทำให้กล้องวงจรปิดเป็นอัจฉริยะไม่ใช่ตาบอด และการบริการที่ต้องเดินทางไปที่เขต หากมีการออนไลน์ ก็เชื่อว่าจะไม่มีการคอรัปชันเกิดขึ้น และจะตรวจสอบติดตามได้ ชีวิตจะเปลี่ยนแน่นอน และปัญหากทม. เช่น น้ำท่วมเป็นปัญหาใหญ่ยังรอคนไปแก้ หากมีการใช้ไวไฟบริหารจัดการระบบปั๊มน้ำ ระบบระบายน้ำ ชีวิตคนก็จะเปลี่ยน หากเลือกหมายเลข 4 ก็จะรู้ว่า จะแก้ปัญหา ให้กทม. เป็นเมืองอัจฉริยะทั้งหมด และตนเองเคยทำมาแล้ว เปลี่ยนกทม.เราทำได้
ขณะที่นายวิโรจน์ กล่าวว่า การสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่อให้ตอบโจทย์กับประชาชนกรุงเทพฯอย่างไร ส่วนตัวมองว่าต้องดึงสติกลับมาก่อน กับการสำลักเทคโนโลยีที่มันล้นเกิน สิ่งที่คนกรุงเทพฯต้องการมากเกี่ยวกับเทคโนโลยีคือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวพันกับชีวิตเขา คือสิทธิในการรู้ ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายน้ำ ว่า เมื่อฝนตกหนักเมื่อไหร่จะสามารถระบายได้ ฝุ่น PM 2.5 หนักหนาสาหัสในเขตไหน การรอรถเมล์ รถเมล์สายใดกำลังจะมา นี่คือสิทธิในการรู้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับความโปร่งใสที่จะทำให้คนกรุงเทพฯ สามารถตรวจการใช้งบประมาณกับความคืบหน้าในการใช้งบประมาณต่างๆได้ รวมไปถึงการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ การปิดเปิดประตูระบายน้ำ เรื่องจราจร แต่อย่างไรก็ตาม “ อย่าบ้าหรือเพี้ยน กับเทคโนโลยี โดยละเลยโครงสร้างพื้นฐาน”
อย่าลืมว่าเมื่อฝนตกไฟมักจะดับ หากระบบสำรองไฟไม่มี หรือระบบที่เรียกว่าออโตเมติกทรานเฟอร์ หากเฟสไฟนี้ดับให้สลับอีกเฟสใช้ เพื่อให้ประตูน้ำยังสามารถทำงานได้ เครื่องสำรองไฟต้องมี เพื่อให้สถานีสูบน้ำ ยังคงทำงานได้ แม้ว่าช่วงเวลานั้นไฟจะดับก็ตาม นี่คือขั้นพื้นฐานที่สุด
ขณะเดียวกันการเรียนออนไลน์ เพื่อให้เด็กนักเรียน สามารถเข้าถึงการเรียนที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดก็คือ คนคิดว่ากรุงเทพธนาคมที่ลงทุนใน infrastructure ต้องลงทุนใน ดิจิทัล infrastructure และคอยให้คำแนะนำ และสนับสนุนให้กับหน่วยงานราชการและเขตต่างๆและท้ายที่สุดคือหากเก็บภาษีป้ายต่างๆ อย่างครบถ้วน ทุกวันนี้เข้าระบบเพียงแค่ร้อยละ 30 เราจะมีงบประมาณให้มาอุดหนุนกับบริษัทเล็กๆ แล้วเมืองเมืองนี้จะเป็นเมืองแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ ที่อยากจะใช้เทคโนโลยีในการบุกเบิกธุรกิจ ตนมองว่า นี่คือเทคโนโลยีที่เป็นจริงที่สุดสำหรับกรุงเทพฯ
ต่อมาเป็น เรื่องแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง การค้าขายหาบเร่แผงลอย นายชัชชาติ และนายสกลธี เป็นผู้ตอบคำถาม
นายชัชชาติ กล่าวว่า หาบเร่แผงลอยเป็นสิ่งจำเป็นต้องอยู่กับคนกทม.ผู้ซื้อผู้ขายก็ต้องการ พ่อค้าแม่ค้าหายไปจากระบบเป็นหมื่นคน ดังนั้นหัวใจคือ หาบเร่แผงลอยต้องไม่เบียดเบียนคนเดินเท้า ต้องจดทะเบียนผู้ค้า อบรมให้ความรู้ด้านสุขลักษณะ ดูว่าพื้นที่ไหนมีหาบเร่แผงลอยได้ และต้องตั้งคณะกรรมการในพื้นที่ขึ้นมา ซึ่งที่ทำสำเร็จแล้วคือซอยอารีย์ มีการจัดระเบียบที่ดี และทำให้พ่อค้าแม่ค้าในห้องแถวขายดีขึ้นด้วย และควรมีการทำฮ็อกเกอร์เซ็นเตอร์ โดยหาพื้นที่ของราชการหรือเอกชนนำคนหาบเร่แผงลอยเข้าไปอยู่ แต่ต้องเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่าย อย่าง พื้นที่ซอยนานา มีหาบเร่แผงลอยจำนวนมาก และขณะนี้มีศูนย์โอท็อปที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ใต้ทางด่วน กทม.จึงควรเข้าไปคุยกับเอกชนแล้วนำเอาหาบเร่แผงลอยเข้าไป และจะต้องพัฒนาชีวิตให้คุณภาพดีชึ้นไม่ใช่ให้เขาอยู่ข้างถนนตลอดไป
ด้านนายสกลธี กล่าวว่า ตนมองว่า เรื่องสตรีทฟู้ดเป็นเรื่องสำคัญของคนกรุงเทพฯ แต่เป็นปัญหาที่ต้องสร้างสมดุลให้ดี ซึ่งตนพูดในหลายวิธีหลายโอกาส ว่าจะเป็นผู้ว่าฯของคนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเป็นผู้ว่าฯของคนเดินเท้าหรือแม่ค้า เพราะฉะนั้นในยุคของผู้ว่าฯสกลธี การค้าขายในที่สาธารณะ เพื่อช่วยคนรายได้น้อยมีอย่างแน่นอน ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นทางเท้า เพราะฉะนั้นคงขายไม่ได้ทุกจุด เพราะฉะนั้นจุดที่ผู้ว่าฯสกลธี ที่จัดให้ทำการค้าช่วยเหลือคนยากจน ต้องมีทางเท้าที่กว้างขวางเพียงพอ ไม่กระทบต่อการจราจร ของคนเดินเท้าเป็นสำคัญ
นอกจากการหาพื้นที่ จะทำอย่างไรให้ผู้ค้าอยู่อย่างยั่งยืนในการช่วยเหลือทั้งระบบ อย่างแรกที่กรุงเทพฯจะช่วยได้คือ การจ่ายเงินช่วยเหลือคนรายได้น้อยรายละ 5,000 บาท โดยจ่ายคนที่ยากจนจริงๆ หากเป็นระบบที่ต้องจ่ายมากขึ้นไปอีก ต้องอาศัยพันธมิตร เช่น ธนาคารออมสิน ซึ่งในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็เลยทำโครงการกับธนาคารออมสิน ด้วยการช่วยเหลือคนยากจนอยู่แล้ว
เมื่อมีเงิน ต้องมีความรู้ด้วย อย่างโรงเรียนฝึกอาชีพของกทม. หลายแห่งจะสอนในเรื่องของการเย็บปักเสื้อผ้ามาขาย สอนทำอาหารหรือหลายอย่าง ซึ่งเขาก็สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ สุดท้ายเมื่อมีเงินมีความรู้ ก็คือสถานที่ขาย คงจะไม่สามารถให้ทุกที่ได้เพราะเป็นผู้ว่าฯของคนทุกคน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมและพัฒนาแล้วในหลายจุด รวมถึงนำพื้นที่ของหน่วยงานราชการต่างๆ ทางใต้ทางด่วน ที่การรถไฟและที่ของกรมธนารักษ์ การท่าเรือ หรือนำมาช่วยประชาชนค้าขาย หากตนได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน
ขณะที่ประเด็นเรื่อง การพัฒนากรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน ในเชิงท่องเที่ยว นายสกลธี และนายสุชัชวีร์ เป็นผู้ตอบคำถาม
นายสกลธี กล่าวว่า ถือเป็นข้อได้เปรียบของไทยที่ประเทศไหนก็ไม่เหมือน เพราะคนไทยคนกรุงเทพฯต้อนรับต่างชาติอย่างเต็มที่ และขนมธรรมเนียมวัฒนธรรมในกทม.มีอยู่ทุกที่อยู่แล้ว ซึ่งโมเดลของการปรับการท่องเที่ยวของกทม.จะเป็นโมเดลที่จะทำเงินเข้ากทม.ด้วย ซึ่งจะทำให้การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตนเองจะหาเงินเพิ่มจากการที่รัฐบาลอุดหนุนงบประมาณปกติเข้ามา โดยการเก็บภาษีค่าโรงแรมที่พักเหมือนกับต่างประเทศ แต่เมืองไทยไม่เคยเก็บภาษีส่วนนี้ ซึ่งหากมีการเก็บภาษีค่าโรงแรม เช่น แค่ 100 บาทต่อห้องพัก กับนักท่องเที่ยว คิดแค่ปีละ 30 ล้านคน 4 ปีจะได้หมื่นกว่าล้านบาท และจะนำไปต่อยอดนำไปพัฒนาคลอง พัฒนาพื้นที่กทม.ให้ดีขึ้นได้อีก
นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกจะไม่กลับมาเหมือนเดิม เมื่อถามว่าวันนี้นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาเที่ยวประเทศไหน เขาคิดถึงเรื่องไหนก่อน เขาคิดถึงเรื่องความปลอดภัย ทั้งความปลอดภัยจากการเดินทางและโรคติดต่อ ตนพูดชัดเจนว่า หากเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯวันนี้ จะลงไปดูกระชับการทำงานเกี่ยวกับการรับมือโควิด-19 ในทันที เพื่อให้พร้อมต่อการเปิดประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วนักท่องเที่ยวจะไม่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ซึ่งตนจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตนจึงเน้นย้ำว่า จะเป็นผู้ว่าฯที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการดูแลความปลอดภัย ซึ่งตั้งใจว่าหากเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนนักท่องเที่ยวและคนไทย ต้องเดินได้อย่างปลอดภัย ไฟฟ้าต้องสว่าง หลอดไฟ LED ไม่ใช่สลัวแบบนี้ นอกจากนี้กล้อง CCTV WiFi ตนขอย้ำว่า เป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด เมื่อมีความพร้อมแล้วผู้ว่าฯกทม ต้องมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์
โดยนโยบายของตนชัดเจนตั้งแต่วันแรก คือตั้งใจจะประชาสัมพันธ์ 12 เทศกาลใหญ่ 50 เทศกาลเขต ให้รู้ว่ากรุงเทพฯมีศักยภาพและมีคนที่น่ารัก