“ตำรวจ” ยัน ไม่พบยาเสียสาว – ยาเสพติด ผู้ถูกกล่าวหาบนเรือ "คดีแตงโม"

จากกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม  ได้แถลงข่าวโชว์คลิปหลักฐานเด็ดคดีการตาย "แตงโม" โดยมีการเปิดคลิปตำรวจแอบเอาศพดาราสาวมาเปรียบเทียบกับใบพัดเรือ ทั้งที่ไม่มีการแจ้งญาติๆ และผิดหลักนิติเวช ก่อนเจอบาดแผลเพิ่มเติม โยงขบวนการสร้างหลักฐานเท็จ

ต่อมามีการเปิดเผยผลตรวจเลือด และตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของพยานบุคคลในเรือลำเกิดเหตุ ผลการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างเลือดโดยวิธี Gas Chromatography ตรวจไม่พบแอลกอฮอล์แต่อย่างใด แต่ผลการตรวจหาสารเสพติดของพยานบุคคลจำนวน 1 ราย ตรวจพบสารกลุ่มเบนโซไดอาซิปินส์ ชนิด Alprazolam หรือยาเสียสาว

ล่าสุด (10 พ.ค.65) พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามขั้นตอน พร้อมปฏิเสธกรณีที่มีข่าวว่าตรวจพบยาเสียสาวจากประจักษ์พยานบนเรือหนึ่งคน โดยยืนยันว่าไม่มีแน่นอนเพราะได้รับการยืนยันจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ชัดเจนว่าไม่มีการตรวจพบทั้ง ยาเสียสาว และยาเสพติดจากผู้ถูกกล่าวหาบนเรือแต่อย่างใด แต่ส่วนตัวไม่กล้าสันนิษฐานเพราะไม่ใช่พนักงานสอบสวน  

พล.ต.ต.ยิ่งยศ ระบุด้วยว่า เวลานี้สำนวนคดีอยู่ที่พนักงานอัยการ ถ้าหากพนักงานอัยการสงสัยให้สอบเพิ่มเติมต้องเป็นไปตามข้อเสนอของพนักงานอัยการ ยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่สังคมสงสัย แต่สังคมต้องรู้ว่าการนำเรื่องในสำนวนออกมาพูดไม่สามารถทำได้เพราะจะมีผลกระทำต่อรูปคดี

ส่วนการที่จะมีการฟ้องร้อง ผบ.ตร. โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ระบุว่าถ้าคิดว่ามีสิทธิ์ตามนั้นก็ว่ากันไป ส่วนคนที่ถูกร้องก็มีสิทธิ์ที่จะปกป้องโดยเฉพาะคนที่มาร้องทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย การพิจารณาทางกฎหมายก็ต้องมีธรรมดา

ส่วนคลิปสนทนาที่หลุดออกมา ยืนยันเป็นคนละเรื่อง และนำมาเผยแพร่เฉพาะบางส่วน ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่บอกว่าผิดไปแล้ว คือความผิดที่นำภาพที่ไม่มีที่มาที่ไปแถลงข่าวตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งต่อมาสังคมได้รับรู้แล้ว จึงมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องแค่นี้ ไม่ใช่ผิดเพราะฉ้อฉลในกระบวนการสอบสวน การนำบางส่วนในการสนทนาจึงทำให้สังคมเข้าใจผิด

อย่างไรก็ตามย้ำนิติเวชทำถูกต้องทุกอย่างและดำเนินการในห้องปฏิบัติการ ไม่ได้มีบริบทของการลักขโมยศพแตงโม  ส่วนคลิปที่นายอัจฉริยะนำมาเผยแพร่ ไม่ได้หลุดจากนิติเวชแต่หลุดจากใครไม่ทราบ ยืนยันนิติเวชไม่มีการขัดแย้งกันล้านเปอร์เซ็นต์  แต่การเอาหลักฐานมาเผยแพร่เป็นเรื่องผิดอยู่แล้ว และต้องพิจารณากฎหมายหลายกระทง