- 09 พ.ค. 2565
- 742
ลดเงินสมทบประกันสังคมทุกมาตรา มีผลบังคับแล้ว พฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 เพื่อเสริมสภาพคล่องนายจ้าง เพิ่มกำลังใช้จ่ายผู้ประกันตน รับสิทธิประโยชน์ทดแทนคงเดิม
9 พฤษภาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการ ดูแลภาระครองชีพ เพื่อบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนจากทั้งการแพร่ระบาดของโควิด19 และสถานการณ์ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป
ขณะนี้หลายโครงการได้เริ่มมีผลบังคับแล้วและมีระยะเวลา ดำเนินโครงการตั้งแต่ พฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 อาทิ
- มาตรการเพิ่มส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 100 บาท/เดือน
- มาตรการส่วนลดค่าน้ำมันแก่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
- มาตรการลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) แก่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยและกิจการขนาดเล็กที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน
ทั้งนี้ อีกมาตรการที่เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่เดือนพ.ค.- ก.ค.เช่นกัน คือ การลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 11.2 ล้านคน ได้ปรับลดทั้งส่วนเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนจากเดิมร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 1 ของค่าจ้าง ส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 39 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1.9 ล้านคน ปรับลดอัตราเงินสมทบจาก 432 บาทต่อเดือน ก็ลดลงเหลือ 91 บาทต่อเดือน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งมีอยู่ 10.7 ล้านคน ได้มีการขยายระยะเวลาลดเงินสมทบเป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่กุมพาพันธ์-กรกฎาคม 2565 ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาก็ได้เผยแพร่อัตราเงินสมทบในส่วนของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้อัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนกับรัฐบาลลดลง ใน 3 ทางเลือก แยกเป็น
- ผู้ประกันตนที่เดิมจ่ายเงินสมทบอัตรา 70 บาทต่อเดือน ลดลงเป็น 42 บาทต่อเดือน รัฐบาลลดเงินสมทบจาก 30 บาท เหลือ 21 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ และกรณีตาย
- ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบในอัตรา 100 บาทต่อเดือน ลดลงเป็น 60 บาทต่อเดือน รัฐบาลลดเงินสมทบจากเดือนละ 50 บาท เหลือ 30 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย และกรณีชราภาพ
- ผู้ประกันตนที่อัตราเดิมจ่ายสมทบ 300 บาทต่อเดือน ลดลงเป็น 180 บาทต่อเดือน รัฐบาลลดเงินสมทบจาก 150 บาท เหลือ 90 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีชราภาพ และกรณีสงเคราะห์บุตร
“ รัฐบาลได้ใช้กลไกของกองทุนประกันสังคม เพื่อช่วยเพิ่มกำลังการใช้จ่ายให้กับผู้ประกันตน และลดต้นทุนให้แก่นายจ้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากทั้งโควิด-19 และสถานการณ์ราคาพลังงาน แต่ผู้ประกันตนทุกกลุ่มทั้งตามมาตรา 33, 39 และ 40 รวมเกือบ 24 ล้านคนยังได้รับการคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์ทดแทนเช่นเดิม ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว