
จากกรณีไฟไหม้ "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Zaporizhzhia" ซึ่งเป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าหลักราว 20% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในยูเครน โดยเหตุการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าถ้าระเบิดจะแรงกว่าเหตุเชอร์โนบีล 10 เท่า
หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุการณ์ “เชอร์โนบีล” คืออะไร "เนชั่นออนไลน์" มีคำตอบ
ภัยพิบัติเชียร์โนบีล ยูเครน เป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงที่สุดของโลก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ตั้งอยู่ที่นิคมเชียร์โนบีล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส ซึ่งในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของ “สหภาพโซเวียต” ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวนับเป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในแง่ของค่าใช้จ่ายและชีวิต
อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นที่ “เครื่องปฏิกรณ์หมายเลขสี่ของโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล” เมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ในวันเกิดเหตุมีพลังงานกระชากที่ฉับพลันและไม่คาดคิด และเมื่อมีความพยายามที่จะปิดแบบฉุกเฉิน พลังงานกระชากขนาดที่ใหญ่กว่ามากก็เกิดขึ้นในส่วนของพลังงานส่งออก
ซึ่งนำไปสู่การแตกของ "อ่างปฏิกรณ์" และการระเบิดเป็นชุดของไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น
ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,431 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน
ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีผู้เสียชีวิตภายในระยะเวลาอันสั้น 31 ราย และได้รับผลกระทบระยะยาวเช่นมะเร็งอยู่ระหว่างการสืบสวน มีการประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีอาจสูงถึง 4,000 คน และสารกัมตรังสีที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศและสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบกับผู้คนกว่า 1 ล้านคน
อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นหนึ่งในสองครั้งที่ได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ ซึ่งความรุนแรงนับว่ามากกว่าภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปี 2011 กว่าร้อยเท่า
เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านมาแล้ว 36 ปี โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลกลายเป็นสถานที่รกร้างและกลายเป็นอนุสรณ์เตือนใจ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัยเดินทางไปเยี่ยมเยียนที่เกิดเหตุ ซึ่งก็นับว่ายังไม่ปลอดภัยในการที่จะต้องอาศัยอยู่โดยอาณาเขตกว้าง 2,600 ตารางกิโลเมตร ยังคงปนเปื้อนไปด้วยรังสี
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มีการประเมินว่าหากจะใช้เวลาในการลดกัมตรังสีในพื้นที่ “เชอร์โนบิล” ในมาตรฐานที่ทำให้ผู้คนสามารถอาศัยอยู่ได้จะต้องใช้ระยะเวลากว่า 20,000 ปี โดยปัจจุบันมีการสร้างผนังคอนกรีตขนาดยักษ์เพื่อครอบโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล เพื่อป้องกันกัมตรังสีรั่วไหล แต่หากโดมยักษ์ได้รับผลกระทบ ก็จะส่งผลให้รังสีปริมาณมหาศาลจะรั่วไหลออกมาซึ่งจะทำให้เกิดมหันตภัยใหญ่อีกครั้ง