ร่ายยาวถึง 10 นาทีในวันนี้ว่าเขาได้โทรศัพท์หาประธานาธิบดีปูติน แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบ ซึ่งความเงียบควรจะอยู่ที่ภูมิภาคดอนบาส นี่คือเหตุผลที่เขาต้องการพูดกับชาวรัสเซีย ไม่ใช่ในฐานะประธานาธิบดี แต่ในฐานะชาวยูเครนซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียยาวถึง 2,000 กิโลเมตร และเป็นพรมแดนที่รัสเซียส่งทหารไปคุมเชิงเกือบ 2 แสนนายพร้อมยานยนต์ทางทหารอีกนับพันคัน
นอกจากนั้นบรรดาแกนนำในรัสเซียยังเห็นด้วยกับแผนรุกคืบเข้าไปยังดินแดนของประเทศอื่น ซึ่งถือเป็นก้าวเริ่มต้นของการทำสงครามใหญ่ในทวีปยุโรป
ผู้นำยูเครนกล่าวย้ำว่า เราไม่ต้องการสงคราม ไม่ต้องการสงครามเย็นหรือสงครามร้อน หรือสงครามไฮบริด แต่หากถูกศัตรูโจมตีหรือพยายามยึดประเทศไปจากเรา ยึดเสรีภาพ ชีวิตของเรา ของลูกหลาน เราจะต้องป้องกันตนเอง ไม่ใช่การโจมตีแต่เป็นการป้องกันตนเอง และเมื่อคุณโจมตีเรา คุณจะได้เห็นหน้าเรา ไม่ใช่เห็นหลัง
สงครามคือหายนะใหญ่ และหายนะนี้เดิมพันสูง ประชาชนจะสูญเสียเงิน ชื่อเสียง คุณภาพชีวิต สูญเสียเสรีภาพ สำคัญที่สุดก็คือเสียชีวิตหรือเสียคนที่รัก
พวกเขาบอกว่ายูเครนเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย ความจริงแล้วไม่ใช่ ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบันหรือในอนาคต เมื่อคุณต้องการความมั่นคงปลอดภัยจากนาโต้ เราก็ต้องการหลักประกันด้านความมั่นคงเช่นกัน เป้าหมายหลักของเราก็คือสันติภาพในยูเครนและความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้นเราจึงพร้อมที่เจรจากับทุกคนรวมถึงคุณด้วยไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน สงครามจะทำให้ความมั่นคงปลอดภัยหายไป ไม่มีใครรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้อีกต่อไป ถามว่าใครจะเป็นทุกข์มากที่สุด มันก็คือประชาชน ใครไม่ต้องการสงครามมากที่สุด มันก็คือประชาชน ใครจะยุติสงครามได้ มันก็คือประชาชน แต่มีประชาชนแบบนั้นในหมู่คุณหรือไม่ ผมมั่นใจว่ามี
ผมรู้ว่ารัสเซียจะไม่ยอมให้ผมปรากฏตัวทางสถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย แต่ชาวรัสเซียต้องเห็น ต้องรู้ความจริง ความจริงก็คือถึงเวลาต้องหยุดก่อนที่จะสายเกินไป
หากบรรดาผู้นำของรัสเซียไม่ต้องการนั่งโต๊ะเจรจากับเราเพื่อสร้างสันติภาพ ก็อาจเป็นชาวรัสเซียนที่ต้องคุยกับเรา ผมอยากรู้คำตอบว่าชาวรัสเซียต้องการสงครามหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ชาวรัสเซียซึ่งเป็นประชาชนของสหพันธรัฐรัสเซีย