ร้อนไม่แพ้อากาศเมืองไทยก็คงเป็นอุณภูมิการเมืองในขณะนี้ที่เรียกได้ว่า ร้อนระอุสารพัดปัญหาถาโถมเข้าใส่ไม่ยั้ง สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลโดยเฉพาะ “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่เริ่มเปิดศึกกับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ตั้งแต่ครั้งศึกซักฟอกรัฐบาลเมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่มีการล็อบบี้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จจนทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส” และ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องกินแหนงแคลงใจมองหน้ากันไม่ติด ทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ต้องพ้นจากตำแหน่ง “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”
แม้พี่ใหญ่อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวพรรคพลังประชารัฐจะเข้ามาอย่าศึก และยืนยันว่าทุกอย่างยังปกติดี แต่ท้ายที่สุด “ร.อ.ธรรมนัส” ได้เดินเกมรุกอีกครั้ง โดยพา ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐรวม 21 คน ออกจากพรรค ไปอยู่ “พรรคเศรษฐกิจไทย” สร้างรอยปริร้าวให้ฝั่งรัฐบาลมากยิ่งขึ้น เพราะต้องเสียคะแนนเสียงไปถึง 21 เสียงและไม่มีอะไรการันตีได้อย่างแน่นอนว่าการลงมติใครครั้ง ๆ ไป 21 เสียงนี้จะสนับสนุนรัฐบาลจริงหรือไม่
“พลังประชารัฐ” แพ้รวด 3 เขตในศึกเลือกตั้งซ่อมทั้งชุมพร เขต 1 สงขลา เขต 6 โดยเฉพาะ เขต 9 กทม.จตุจักร-หลักสี่ ซึ่งเป็นที่พื้นเดิมของ “นายสิระ เจนจาคะ” ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ส่ง “มาดามหลี” ภรรยาเป็นตัวแทนลงสมัครแต่ผลกลับพ่ายแพ้อย่างไม่เห็นฝุ่นทำคะแนนได้เพียง 7 พันกว่าคะแนนเท่านั้น หลุดจากที่ 1 ไปเป็นที่ 4 ทำเอากูรูทางการเมืองหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้อาจสะท้อนว่า “บิ๊กตู่ขายไม่ได้แล้ว”
จากสถานการณีฝ่ายรัฐบาลที่ง่อนแง่น ฝ่ายค้านก็เดินเกมรุกหนัก เปิดปฏิบัติการล่มประชุมสภาฯ บีบรัฐบาลให้จนมุมเป้าหมายให้ “ยุบสภา” ซึ่งแม้การเดินเกมสภาล่มจะสร้างรอยร้าวให้ฝ่ายค้าน “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ได้ออกมาฉะกัน แต่ที่เรียกว่าโคม่ากว่าคือฝ่ายรัฐบาลที่สั่นคลอนจนกระทั่ง “บิ๊กป้อม” ต้องออกมายกมือไหว้ลูกพรรคขอร้องขอให้สภาล่มอีก เพื่อให้รัฐบาลได้อยู่รอดครบเทอม ท่ามกลางกระแสกดดันและบรรดาลูกพรรคพลังประชารัฐที่ทยอยลาออกทั้ง
ขณะเดียวกันยังมีความพยายามของอีกฝั่ง ซึ่งนำโดย “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” ที่ออกมาเคลื่อนไหวรณรงค์รวบรวมรายชื่อประชาชนและพรรคการเมืองเสนอสภาแก้ไขรธน.มาตรา 272 ให้ปิดสวิทซ์สว. ตัดอำนาจเลือกนายกฯ ซึ่งขณะนี้ มีส.ส.สนับสนุนแล้วกว่า 265 ราย รวมถึง ก๊วนธรรมนัส ด้วย
เกมล้มรัฐบาลโดยเฉพาะการโดดเดี่ยว “พล.อ.ประยุทธ์” ชัดเจนขึ้น จนร้อนถึง “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่ต้องออกทิ้งพรรคพลังประชารัฐ หันซบพรรคเปิดใหม่อย่าง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ประกาศชัดเจนเพื่อสนับสนุนเป็นบ้านหลังใหม่ให้พล.อ.ประยุทธ์ หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองถูกหักหลัง พร้อมทาบทาม “พล.อ.ประยุทธ์” ให้นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคนี้ด้วย
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่ขณะนี้ก็ปริร้าวมากขึ้น จากกรณี 7 รัฐมนตรี “พรรคภูมิใจไทย” ที่รวมตัวไม่เข้าประชุมคณะรัฐนตรีในวันที่ 8 ก.พ. 65 จากปัญหาความไม่ลงรอยกรณีการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เรียกได้ว่าทั้งศึกนอกศึกในใส่เข้าอีกไม่ยั้ง
ดังนั้นเกมการเมืองจากนี้เรียกได้ว่าจะต้องจับตาอย่างพลาดไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงต้นเดือนมิ.ย.65 ที่พ.ร.บ.งบประมาณจะเข้าสภา ถ้าหากไม่ผ่านรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ นอกจากนั้นยังมี “ศึกซักฟอก” ในเดือน ก.พ. นี้ แม้จะไม่มีการลงมติ แต่ก็เป็นอีกครั้งทางหนึ่งที่ฝ่ายค้านจะใช้พื้นที่นี้ในการประจานรัฐบาลอย่างถึงพริกถึงขิง ประกอบกับกฎหมายต่างๆ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องพึ่งเสียงในสภาซึ่งอาจจะต้องมีการแจกกล้วยสะพัดกันอีกครั้ง
จากเหตุการณ์ทั้งหมดเรียกได้ว่าล้อมกรอบ บีบคั้น “พล.อ.ประยุทธ์” จนเกือบสุดทาง หลังจากนี้จะต้องจับตา “พล.อ.ประยุทธ์” จะฝ่ามรสุมลูกใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไรเพื่ออยู่บนหลังเสือต่อไปได้อย่างสง่างาม