16 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้(15 ม.ค.) ว่า ที่โรงแรม เลอเมอริเดียน ภูเก็ตบีชรีสอร์ท ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย พลเอก วัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะฯ พร้อมด้วย พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สมช. ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการเจรจาเพื่อสันติสุข หลังจากร่วมหารือกับคณะผู้แทนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ หรือ BRN ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 11-12 ม.ค. 65 ซึ่งมีการร่วมกำหนดสารัตถะ 3 ข้อ และคาดปีนี้เห็นผลคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
พลเอก วัลลภ เปิดเผยว่า คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝั่งไทย และคณะผู้แทน BRN นำโดยอุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน และมี นายตันซรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นอร์ เป็นผู้อำนวยความสะดวกการพูดคุย พร้อมผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์อีก 2 คน บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ทั้ง 2 ฝ่าย มีท่าทีที่มีมิตรไมตรีต่อกัน
ทั้งนี้เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ทำให้กระบวนการพูดคุยประสบปัญหา ไม่สามารถเดินทางไปพบปะได้ จึงต้องชะลอไป แต่ทั้ง 2 ฝ่าย พยายามสานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขผ่านออนไลน์ รวมถึงการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้การพูดคุยมีความคืบหน้าต่อเนื่อง จนนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการประชุมแบบ Face to Face ที่ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมา โดยผลการหารือมีข้อสรุปใน 3 ประเด็น
โดยประเด็นแรก ทั้ง 2 ฝ่าย ได้พูดคุยหารือและเห็นพ้องกันในเรื่องหลักการทั่วไปในกรอบสารัตถะ 3 เรื่อง คือ การลดความรุนแรง การปรึกษาหารือของประชาชนในพื้นที่ และการแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งทั้ง 3 เรื่อง
เป็นไปตามเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ที่อยากเห็นความสงบสุขในพื้นที่ การใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข และการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมทั้งอยากเห็นรัฐบาลแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า อันจะนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน
ประเด็นที่ 2 การจัดตั้งกลไก เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสารัตถะของการพูดคุย โดยมีการพิจารณาจัดตั้ง ผู้ประสานงาน Joint working group ขึ้นมาในแต่ละประเด็น โดยเฉพาะประเด็นการลดความรุนแรง และการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่ ส่วนเรื่องการแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งมีความซับซ้อนและละเอียดค่อนข้างมาก ก็จะใช้ลักษณะการจัดตั้ง Joint study group ขึ้นมาศึกษารายละเอียด หาแนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้
การจัดตั้งดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นแบบกึ่งทางการ ที่สามารถพบปะหรือติดต่อพูดคุยกันได้โดยตรง เพื่อกำจัดจุดอ่อนในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด เพื่อให้ทุกอย่างคืบหน้าไปได้
ประเด็นที่ 3 เป็นประเด็นที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย ได้หยิบยกขึ้นมาคือ การลดกิจกรรมความรุนแรงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยความสมัครใจ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการพูดคุยในครั้งต่อไป รวมทั้งต้องการให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการพูดคุย ที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้นที่
โดยคณะพูดคุยฝั่งไทย และกองทัพภาคที่ 4 ได้เตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้บางส่วนแล้ว ขณะที่การพูดคุยครั้งต่อไป ได้หารือกันเเล้วว่าจะพูดคุยกัน 2-3 เดือนต่อครั้ง แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิดด้วย
พลเอก วัลลภ กล่าวยืนยันอีกว่า คณะพูดคุยได้ มุ่งมั่นดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ในการขับเคลื่อนผลักดันให้กระบวนการพูดคุยเป็นหนทางที่สามารถสร้างสันติสุขในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่ม BRN รวมถึงภาคประชาชน เพื่อมาแสวงหาทางออกร่วมกันต่อไป
โดยตลอด 2 ปีที่มีการพูดคุยกับกลุ่ม BRN จากช่วงแรกที่มีความไม่ไว้วางใจกัน จนถึงขณะนี้เริ่มมีความเชื่อมั่นกันพอสมควร ผลจากการพูดคุยครั้งนี้ ถือว่ามีความก้าวหน้าที่ดีมาก นำมาสู่การกำหนดหัวข้อประเด็นสารัตถะกันได้
ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซึ่ง 1 ปีหลังจากนี้ คาดว่าจะมองเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการลดความรุนแรง และการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่ หลังจากนี้คณะพูดคุยจะต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ คาดว่าภายใน 2 ปีนี้จะเห็นความคืบหน้าในการพูดคุย เรื่องการแสวงหาทางออกทางการเมืองได้ต่อไป