ผู้สื่อข่าวรายงาน ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2564 ที่กรมสรรพากรให้ยื่นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2565 นั้น ล่าสุด กรมสรรพากร ได้ปรับปรุงรายการการยื่นแบบแสดงรายได้ โดยเพิ่มรายได้จากการลงทุน ตามมาตรา 40 (4)
ที่เป็น “ดอกเบี้ย เงินปันผล จากบริษัทต่างประเทศ ประโยชน์ใด ๆ จากคริปโทเคอร์เรนซี หรือ โทเคนดิจิทัล เงินเพิ่มทุน เงินลดทุน” เพื่อให้ผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ประเภทนี้ได้ยื่นแสดงเงินได้ด้วย
นั่นหมายความว่า
ผู้มีเงินได้ทุกคนที่ได้ประโยชน์จากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลในปีที่แล้ว (ปี 2564) จำเป็นต้องใส่จำนวนเงินได้ของตนเองในแบบที่ยื่นต่อกรมสรรพากร เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
ดังนั้น ในการยื่นแบบภาษีเงินได้ในเดือนมีนาคม 2565 สรรพากร จึงมีช่องให้เลือกสำหรับผู้ที่มีกำไรจากการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อให้ผู้เสียภาษีแสดงเงินได้ ซึ่งหากใครมีรายได้แล้วหลบเลี่ยงไม่ยอมยื่นทางกรมมีระบบ data analytics เพื่อตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งยังมีอำนาจในการออกหมายเรียกพยานได้ เช่น หากสรรพากรมีข้อมูลที่เชื่อว่าบุคคลดังกล่าวมีกำไรจากการซื้อขายคริปโทก็มีอำนาจเรียกเข้ามาให้ข้อมูลได้
สำหรับภาษีหุ้นทั่วโลกมีเก็บ 2 รูปแบบ คือ transaction tax และ capital gain tax (ภาษีกำไรจากการขายหุ้น) หลายประเทศเก็บทั้ง 2 รูปแบบ แต่ไทยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาเพื่อจัดเก็บ transaction tax ซึ่งเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ และมีการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534
ดังนั้น ในการยื่นแบบภาษีเงินได้ในเดือนมีนาคม 2565 สรรพากร จึงมีช่องให้เลือกสำหรับผู้ที่มีกำไรจากการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อให้ผู้เสียภาษีแสดงเงินได้ ซึ่งหากใครมีรายได้แล้วหลบเลี่ยงไม่ยอมยื่นทางกรมมีระบบ data analytics เพื่อตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งยังมีอำนาจในการออกหมายเรียกพยานได้ เช่น หากสรรพากรมีข้อมูลที่เชื่อว่าบุคคลดังกล่าวมีกำไรจากการซื้อขายคริปโทก็มีอำนาจเรียกเข้ามาให้ข้อมูลได้
ทั้งนี้ กรมสรรพากรกำลังศึกษาเรื่องการเก็บภาษีจากธุรกรรมการขายหุ้น (financial transaction tax) อัตรา ร้อยละ 0.1 จากมูลค่าการขาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเก็บปีหน้า และทำให้มีรายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเหตุผลที่ต้องจัดเก็บเนื่องจากต้องสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำ
ต้องรอติดตามกันต่อไป
ประโยชน์จากคริปโทเคอร์เรนซี จะคำนวณอย่างไร และถ้าคนใส่ข้อมูลไม่ครบ กรมสรรพากรจะตรวจเจอหรือไม่ ถือเป็นเรื่องนี้จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่คนไทย หรือบรรดานักลงทุนในเงินสกุลนี้...จะต้องติดตาม!!
ขอขอบคุณที่มา : ฐานเศรษฐกิจ