31 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ชุดจับกุม ร่วมกันจับกุม น.ส.พิมพ์นารา หินกล้า อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ความผิด“โดยทุจริตหรือหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและฉ้อโกงประชาชน”
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดระนอง ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และหมายจับศาลจังหวัด กันทรลักษณ์ ข้อหา “โดยทุจริตหรือหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ ประชาชน” รวมถึงมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อหา ฉ้อโกงประชาชนอีกกว่า 10 คดี ประเภท หลอกขายของออนไลน์ พร้อมกับจับกุม นายอัมรินทร์ คชวัตร อายุ 32 ปี
ก่อนหน้านี้ตำรวจกองปราบปราม สืบทราบว่า น.ส.พิมพ์นารา ผู้ต้องหารายนี้มีพฤติกรรม หลอกขายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยอ้างว่าได้ทำการสั่งผลิตและซื้อสินค้าจากโรงงานในประเทศจีน ได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้มีผู้หลงเชื่อและโอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 100 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 25 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมในการหลอกชักชวนผู้อื่นลงทุน โดยอ้างว่าจะจ่ายผลตอบแทนในจำนวนที่สูงกว่าปกติ ทำให้มีผู้หลงเชื่อและโอนเงินให้แก่ผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท โดยตำรวจได้ทำการสืบสวน ติดตามตัวมาโดยตลอดและมีข้อมูลว่า คืนวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา น.ส.พิมพ์นารา ไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่ง ย่านงามวงศ์วาน จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ
โดยสอบพบว่า น.ส.พิมพ์นารา กําลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับ นายอัมรินทร์ จึงแสดงตัวเป็นตำรวจ แต่ระหว่างนั้นปรากฎว่า นายอัมรินทร์ ได้แสดงท่าทีไม่พอใจ มีการพูดจาไม่ให้ตำรวจนำตัว น.ส.พิมพ์นารา ไปดำเนินคดี และยังมีการเสนอเงินสดให้ 3 หมื่นบาทกับชุดจับกุมเพื่อแลกกับการปล่อยตัว
ทางด้านชุดจับกุมได้ปฏิเสธ พร้อมกับยืนยันจะนำตัว น.ส.พิมพ์นารา ไปดำเนินคดี นายอัมรินทร์ แสดงอาการไม่พอใจ ทำทีหยิบสิ่งของบางอย่างที่อยู่ภายในกระเป๋าสะพายข้างสีดำ พร้อมกับพูดเสียงดังว่า “ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวน.ส.พิมพ์นารา ไปเด็ดขาด” เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นท่าทีของนายอัมรินทร์ผิดสังเกต จึงขอตรวจกระเป๋า แต่นายอัมรินทร์ ได้ชักปืนออกจากกระเป๋า ทำให้ตำรวจต้องวิ่งหลบเข้าที่กำลัง ก่อนที่จะพากันหนีขึ้นรถยนต์ โตโยต้า วีออส ติดแผ่นป้ายทะเบียน ฆท 4486 กรุงเทพมหานคร หลบหนีไป
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงประสานกำลังหน่วยหนุมานกองปราบ ออกติดตามไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด ไปจนถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านไทรน้อย จ.นนทบุรี พบนายอัมรินทร์ ยืนอยู่เพียงลำพังที่ลานจอดรถจึงปิดล้อมจับกุมตัวได้ ตรวจค้นภายในตัวไม่พบปืนก่อเหตุ พบเพียงแมกกาซีนสำรอง 1 อัน พร้อมกับเปิดเผยว่า น.ส.พิมพ์นารา ได้ขึ้นรถของแม่ขับหลบหนีต่อมุ่งหน้าไปทาง จ.สุพรรณบุรี
เจ้าหน้าที่แบ่งกำลังไล่ติดตาม จนพบแม่ของผู้ต้องหา แต่ไม่พบตัว น.ส.พิมพ์นารา เมื่อสอบถามพบว่า มีการวางแผนให้แม่ขับรถมารับ น.ส.พิมพ์นารา เพื่อให้ช่วยพาหลบหนีจริง แต่ยังไม่ทันได้เจอตัว เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนแผนกระจายกำลังเข้าตรวจค้นภายในห้างสรรพสินค้าจุดที่พบเจอตัวนายอัมรินทร์ อย่างละเอียดกระทั่งพบเจอตัวน.ส.พิมพ์นารา ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องน้ำ พร้อมกับตรวจค้นพบอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าสะพาย จึงทำการควบคุมตัวทั้งสองมาทำการสอบปากคำ
เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัตินายอัมรินทร์ พบเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกายและคดียาเสพติด เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.พิมพ์นารา ตามหมายจับพร้อมนำตัวส่ง สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี
ส่วนนายอัมรินทร์ ถูกแจ้ง 7 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย 1.ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลัง ประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธปืน 2.ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน โดยมีหรือใช้อาวุธปืนฯ 3. กระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หลุดพ้น จากการคุมขังไป โดยใช้อาวุธปืนฯ 4. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองฯ 5. มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองฯ 6.ให้หรือขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ และ 7. ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียน) ก่อนนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินคดี
ด้านผู้เสียหายที่เคยตกเป็นเหยื่อของน.ส.พิมพ์นารา โดยได้แจ้งความไว้ที่สน.ดอนเมือง ระบุว่า ผู้ต้องหาตั้งวงแชร์ทอง ได้ชวนเข้าร่วมกลุ่มแอคเคาท์ทางไลน์ ก่อนชวนร่วมลงทุน ให้เป็นเปอร์เซนต์แบบวันต่อวัน แต่ระยะหลังเกิดความสงสัย จึงมีการเช็กประวัติ พบว่ามีคดีติดตัวลักษณะฉ้อโกง จึงไปดำเนินการอายัดบัญชีผู้ต้องหาไว้ โดยในตอนแรกมีการพูดจาไกล่เกลี่ย ทยอยผ่อนคืนก่อนที่จะขาดการติดต่อหายไป
ขณะที่ผู้เสียหายอีกราย ได้แจ้งความไว้ที่ สน.มักกะสัน โดยถูกหลอกลงทุนซื้อเสื้อผ้ากระสอบขายให้เป็นเปอร์เซนต์ 30% โดยกระสอบหนึ่งสามารถลงทุนได้ตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักแสนหลักล้าน โดยรู้จักกันเพราะผู้ต้องหาเป็นแม่ค้าออนไลน์ เคยซื้อขายเสื้อผ้ากันเป็นประจำ จึงเกิดความไว้ใจ ร่วมลงทุนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 62 แต่คดีไม่คืบแต่อย่างใด