ความเคลื่อนไหวทางวิชาการล่าสุด ทางด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "Yong Poovorawan" ในประเด็น "โอมิครอน การติดต่อและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว" โดยได้ระบุข้อความว่า
"ในระยะหลัง ไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มแพร่กระจายได้เร็วขึ้นมาโดยตลอด ตามสายพันธุ์ที่วิวัฒนาการขึ้นมา
ปัจจัยหนึ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัด มีการติดเชื้อ แล้วผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่มีอาการน้อย หรือไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่กระจายได้ อัตราการเสียชีวิตของทั่วโลก ก็เริ่มลดลงมาโดยตลอด จะเห็นได้จากตั้งแต่สายพันธุ์อู่ฮั่น ในระยะแรกอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ และต่อมามีการระบาดที่ยุโรปโดยเฉพาะอิตาลี อัตราการเสียชีวิตในระยะแรกค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มที่จะลดลงมาเรื่อยๆ การเสียชีวิตทั่วโลกขณะนี้น้อยกว่า 2% ประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.9 เปอร์เซ็นต์ และแนวโน้มการติดเชื้อจะอยู่ในกลุ่มที่มีอายุน้อยลง อัตราการเสียชีวิตก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมีผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ
ประชากรกลุ่มดังกล่าวจะสามารถแพร่กระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การแพร่กระจายเชื้อเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้าประเทศ เกือบทั้งหมดแทบจะไม่มีอาการ สามารถเดินทางได้ การวัดไข้ก็จะจับไม่ได้ และก็สามารถพร้อมที่จะแพร่เชื้อได้
ในระยะหลัง การติดตามผู้สัมผัสโรค หรือการบอก Time line เมื่อมีผู้ป่วยมากขึ้นก็ไม่สามารถที่จะทำได้ จึงทำให้มีผู้ติดเชื้อแบบซ่อนเร้น เป็นผู้แพร่กระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี
การป้องกันตนเองในขณะนี้ ขอให้คิดไว้ก่อน ว่าบุคคลที่เราจะใกล้ชิดอาจจะเป็นผู้ติดเชื้อ จึงต้องมีการปฏิบัติที่เข้มงวดโดยตลอด"
ความคืบหน้านี้ สอดรับกับงานวิจัย ที่อ้างถึงผลการศึกษาในเบื้องต้น ที่เผยแพร่ใน สหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ ชี้ว่าคลื่นการระบาดของเชื้อโอมิครอน ดูเหมือนจะรุนแรงน้อยกว่าเชื้อตัวอื่น ๆ
หลักฐานในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า โอมิครอนทำให้มีคนที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่าเชื้อตัวอื่น โดยค่าการน้อยกว่าตัวนี้ อยู่ที่ประมาณตั้งแต่ 30 - 70%
แต่ก็ยังมีความกังวลว่า แม้โอมิครอนจะไม่รุนแรง แต่จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ก็สามารถทำให้โรงพยาบาลรับมือไม่ไหวได้
อย่างในสหราชอาณาจักร มีรายงานผู้ป่วยมากกว่า 100,000 คนในวันเดียวเป็นครั้งแรก
ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความรุนแรงของโอมิครอน จะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อไวรัสตัวนี้อย่างไร
ผลการศึกษาชี้ว่า ถ้าโอมิครอนเหมือนกับเดลต้า คาดว่าอังกฤษจะมีผู้คนประมาณ 47 คน ที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ตอนนี้มีอยู่แค่ 15 คนเท่านั้น
คณะผู้วิจัยบอกว่า พวกเขาเห็นการลดลงประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ในการศึกษาครั้งนี้ มีการศึกษาเคสผู้ป่วยน้อยมาก และมีผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงเพียงแค่ไม่กี่คน
จิม แม็คเมนามิน ผู้อำนวยการด้านปัญหาโควิด-19 แห่งชาติของสาธารณสุขสกอตแลนด์ อธิบายว่ามันเป็น " ข่าวดีที่ผ่านการรับรอง" แต่เตือนว่า "เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะไม่ก้าวไปข้างหน้าเกินกว่าตัวเอง "
เนื่องจากโอมิครอน มีการแพร่กระจายรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อและการมีผู้ป่วยมากมาย อาจทำให้ประโยชน์จากการที่มันไม่รุนแรง ถูกปัดออกไป
มาร์ค วูลเฮาส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ บอกว่า "การติดเชื้ออาจค่อนข้างไม่รุนแรงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ศักยภาพในการติดเชื้อที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ฝ่ายสาธารณสุขที่เหลืออยู่ ต้องตึงเครียดหนัก"
ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาในแอฟริกาใต้ ก็ชี้ว่าคลื่นโอมิครอนนั้นไม่รุนแรงเช่นกัน
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้คนมีโอกาสน้อยลง 70-80 % ที่จะต้องการรักษาในโรงพยาบาล โดยขึ้นอยู่กับว่าโอมิครอนถูกนำไปเปรียบเทียบกับคลื่นลูกก่อนหน้า หรือเชื้อตัวอื่น ๆ ที่หมุนเวียนอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ชี้ว่าไม่มีความแตกต่างในผลลัพธ์สำหรับผู้ป่วยเพียงไม่กี่รายที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะโอมิครอน
ความรุนแรงที่ลดลงนั้น มองกันว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างคุณสมบัติพื้นฐานของโอมิครอนเอง และภูมิคุ้มกันในระดับสูงจากการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อครั้งก่อน ๆ