จากกรณีที่มีการลดโทษผู้ต้องขังคดีทุจริตคอร์รัปชัน ทางฝั่งขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า หลังจากที่มีเสียงทักท้วงดังมากของคนไทย ในเรื่องการลดโทษ อภัยโทษให้กับผู้ต้องขังคอร์รัปชันอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นรัฐมนตรี ทางรัฐบาลออกมาพูดเหมือนกับทุกๆ เรื่องในอดีตที่ผ่านมา ก็คือบอกว่าเดี๋ยวจะศึกษา เดี๋ยวจะทบทวน ดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง บทเรียนที่เราเห็นก็คือ ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวสังคมก็ผ่านเลยไป เมื่อเรื่องเงียบแล้วเดี๋ยวก็เงียบกันไป
อย่าลืมว่าเมื่อปี 2559 อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน บอกว่ามันมีหลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติอยู่แล้ว ว่าการลดโทษ อภัยโทษ จะไม่มีให้กับคดีคอร์รัปชัน แต่กฎกติกาเหล่านั้นมันไม่ถูกปฏิบัติมันหายไป
เพราะฉะนั้น วันนี้การพูดที่บอกว่าจะทบทวน ทุกคนก็เงียบแล้วลืมกันไป เชื่อเถอะว่าแล้วมันก็จะหายไป ครั้งหน้าจะเป็นวโรกาสอะไร หรือจะเป็นภายใต้หลักเกณฑ์กติกาที่มีการตั้งไว้ เรื่องเหล่านี้มันจะกลับคืนมาอีกด้วยข้ออ้างเหมือนเดิม มันเป็นไปตามกฎหมายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เป็นไปตามกติกา ซึ่งสังคมรับไม่ได้
เพราะฉะนั้นทางที่ดีตั้งความชัดเจนตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นง่ายที่สุด คนที่เป็นรัฐมนตรียุติธรรมวันนี้ต้องออกมาประกาศว่ามีจุดยืนอย่างไร นายกรัฐมนตรีต้องประกาศว่าท่านมีจุดยืนอย่างไร ให้ครม.มีมติออกมาว่าในเรื่องนี้จะสนับสนุนอย่างไร หลังจากนี้แล้วถ้าดำเนินการตามที่ท่านอาจารย์จรัญ อดีตผู้พิพากษารัฐธรรมนูญ ท่านแนะนำว่าให้ผู้ตรวจการแผ่นดินไปยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ
ถ้าทำได้ขอให้ทำทันที เพื่อให้มีมาตรฐานที่ชัดเจน ขั้นต่อไปในระยาวให้มีการแก้ไขหรือกำหนดเพิ่มเติมในประกาศกระทรวงยุติธรรม มากไปกว่านั้นก็คือ ถ้าตราเอาไว้ในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ขอให้รัฐสภารีบทำสิ่งเหล่านี้ แล้วจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป แล้ววันข้างหน้าผลประโยชน์และคอร์รัปชันมันก็จะเกิดขึ้นเหมือนเดิม
"เพราะลดโทษคนโกง คือคอร์รัปชันซ้อนคอร์รัปชัน"
ติดตามบทสัมภาษณ์ได้ใน สืบสวนความจริง วันที่ 18 ธ.ค.64 เวลา 10.10 น. ทางช่องเนชั่นทีวี 22