เปิดใจ "ชัยวัฒน์" มือปราบพรานป่า "เปรมชัย"

8 ธันวาคม 2564 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 อุบลราชธานี เปิดเผยว่ากับเนชั่นออนไลน์ว่า วันนี้เป็นวันอ่านคำพิพากษาคดีเสือดำ ที่คุณเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ถูกดำเนินคดีล่าเสือดำนำมาเป็นอาหาร โดยศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา 

“จำคุก 2 ปี 6 เดือน คุณเปรมชัย โดยไม่รอลงอาญา” 

หลายๆ คดี ในขณะที่ตนทำหน้าที่ปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่า 30 ปี ที่ผ่านมา สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการปกป้องผืนป่าแก่งกระจาน ผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และมีปัญหาอุปสรรค อีกทั้งเรื่องราวมากมาย ทั้งด้านบวกและด้านลบ เช่นบางเรื่อง ที่มีการกล่าวหา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ถูกต้อง (ถูกใจ) โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตนไม่จำเป็นต้องออกมาอธิบาย หรือต้องออกมาชี้แจงให้ทุกคนทราบหรือเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง

นายชัยวัฒน์ เล่าต่ออีกว่า สิ่งที่สำคัญและยืนยันว่าผู้พิทักษ์ป่าทุกคนได้ทำหน้าที่ปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าได้อย่างสมบูรณ์ จนวันนี้ ผืนป่าแก่งกระจาน ปรากฎความชัดเจน การบุกรุกป่าตามแนวชายแดน มีกลุ่มคนเรียกตัวเองว่า กลุ่มชาติพันธุ์ ว่าอยู่มาก่อน และผืนป่าแห่งนี้ เป็นของตน ซึ่งบรรพบุรุษของตน รักษาไว้เพื่อให้พวกตน ล่าสัตว์ป่าได้ โคนป่าได้ อย่างเสรี โดยไม่มีกฏหมาย หรือกฏหมาย มาใช้กับพวกตเขาไม่ได้ 

 

ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนิติศาสตร์ ทั้งรัฐศาสตร์ ครบถ้วนแล้ว พูดได้ว่าทำหน้าที่ได้อย่างดีแล้ว และข้อกล่าวหาในเรื่องต่างๆ นั้น เป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ ที่ถูกนำเสนอในข่าวสื่อสารมวลชนบางรายการ และสิ่งตีพิมพ์บางฉบับ จนยูเนสโก ได้ตรวจสอบซ้ำๆ ว่าการที่อ้างว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ทำเกินสิทธิมนุษยชน นั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง จนสุดท้าย ผืนป่าแก่งกระจาน ที่ได้ต่อสู้กันมายาวนาน ได้รับการประกาศเป็น "ผืนป่ามรดกโลก" ในปีนี้ 

และอีกหลายคดีใหญ่ๆ ที่ผมกับน้องๆหน่วยพญาเสือ ร่วมกันต่อสู้ เช่น การทวงคืนเกาะปอดะ จ กระบี่ การทวงคืนรีสอร์ทบนเกาะช้าง การทวงคืนการบุกรุกบนเกาะเสม็ด การทวงคืนการออกเอกสารสิทธิที่มิชอบด้วยกฏหมายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ การทวงคืนผืนป่ากรมหลวงชุมพร การทวงคืนสัมปทานสวนปาล์ม จ.พัทลุง และ จ.กระบี่ การทวงคืนยึดคืนโรงแรมรีสอร์ทใน จ กาญจน์ จ.โคราช จ.เชียงใหม่ และอีกกว่า 400 คดี ที่ผมได้ดำเนินการมา 

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า คดีที่ตนไม่ยอมและรู้ถึงขบวนการ คือ ขบวนการล่าสัตว์ป่า มีขบวนการล่าเสือโครง (แอบแฝงในรูปแบบของสวนสัตว์ ) การล่าสัตว์ป่าเพื่ออาหารจากกลุ่มคนในพื้นที่ ขบวนการล่าช้าง การสวมตั๋วช้าง และคดีที่เป็นคดีดัง เป็นคดีอุทาหรณ์คือ "คดีเสือดำ"

 

คดีที่คุณเปรมชัย กับพวกเข้าไปในรูปแบบการท่องเที่ยวแต่ฉวยโอกาส ล่าสัตว์ป่าเพื่อเกมส์กีฬา และยังนำเสือดำมากินเป็นอาหาร ซึ่งวิสัยทั่วไปของนักล่าสัตว์ป่าจะไม่ทำกัน เพราะนักล่าจะมีความเชื่อว่า การกินสัตว์ใหญ่ และสัตว์ป่าในตำนานเช่น ช้าง เสือ โดยเฉพาะเสือดำ จะไม่มีใครล่าและกล้ากิน 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ตั้งแต่ วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ ปี 61 ตนไปรับคดีต่อ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 61 โดยรับทำเฉพาะส่วนของการตรวจหลักฐาน การตรวจทางหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ และจัดทำแผนที่ และที่สำคัญคือ แผนพฤติกรรมของคดี ตนเก็บหลักฐานได้มากพอสมควร รวมถึงหลักฐานชิ้นเนื้อกระดูก และอื่นๆ อีกมากมาย นำมาประกอบในสำนวนคดี เดิมที่หัวหน้าวิเชียร ชิณวงษ์ กับเจ้าหน้าที่ทำไว้ หลักฐานต่างๆ ที่ได้ สอดคล้องกันอย่างถูกต้อง แม่นยำ และหลักฐานทางการตรวจดีเอ็นเอตรงกันทุกอย่างเช่นกัน 

"ด้วยความเห็นส่วนตัวผม มันก็ยากที่จะหลุดคดีร่วมกันล่า และมีซากสัตว์ป่าไว้ในครอบครอง จนหลักฐานต่างๆ ได้เข้าไปในสำนวน ตั้งแต่ศาลชั้นต้น จนถึงศาลอุทธรณ์ แต่ที่ผมได้ติดตาม เอกสารของผมชุดกับหน่วยพญาเสือได้จัดทำ น่าจะได้ใช้ยืนยันชัดเจนตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในชั้นอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าศาลได้บรรยายและเพิ่มโทษกับผู้ต้องหา" 

วันนี้คำตัดสินของศาลฎีกา ผมไม่ได้มีความรู้สึก ดีใจหรือเสียใจ หรือตื่นเต้นอะไรไปเลย ตนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ส่วนผมเองได้ทำหน้าที่ของผมกับน้องไปเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า ได้ดีที่สุดแล้ว ใครกระทำอะไรมีเจตนาที่จะทำลายป่ากับสัตว์ป่า ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ต้องมีอันเป็นไป ไม่ได้มีความสุข และต้องได้รับผลของการกระทำที่ตนได้กระทำกับป่าและสัตว์ป่า จะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกข์กับสิ่งที่ตนได้ทำ ถึงแม้จะไม่มีใครรู้หรือไม่ถูกดำเนินคดี 

 

ที่สำคัญ “ทุกคดีที่ผมกับน้องๆ หน่วยพญาเสือ ได้ดำเนินการ ดำเนินคดี พวกเราเจ้าหน้าที่ทุกนายไม่ต้องการให้ใครต้องติดคุก เพียงแต่ขอให้ ได้แผ่นดินคืนมา ลดการบุกรุกป่า ไม่ให้สัตว์ป่าต้องถูกพรากจากพ่อแม่และตายโดยการล่า เท่านั้น” 

คดีของคุณเปรมชัย มีผลกระทบกับผมไหม? มีหลายคน รวมถึงผู้ใหญ่ด้านการเมือง ข้าราชการผู้ใหญ่ ได้แอบบอกว่า ปัญหาที่ผม ถูก ปปท.นำมาชี้มูล ถูกดีเอสไอ รับคดีบิลลี่ เพื่อดำเนินคดีความผิดให้หลุดจากหน้าที่ ให้ออกจากราชการ นั่นมาจากที่ผมไปจับคุณเปรมชัย กับพวก และคดีใหญ่ๆ ข้างต้น จึงเป็นที่มาให้ถูกดำเนินคดี ทั้งในข้อหาคดีบิลลี่ (ดีเอสไอ) และ ปปท ชี้มูลให้ออกจากราชการ 

 

ผมเรียนตามตรงเลยนะครับ ว่าผมไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อว่าคน (ข้าราชการ) พวกนี้ ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ต่อหน้าในหลวงกลับมาปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจหน้าที่ ของพวกเขามารับจ้างกระทำผิดโดยไม่นึกถึงคุณแผ่นดิน ผมจึงให้โอกาสทุกคน รวมทั้งผม แสดงความบริสุทธิ์ใจในการกระทำ ในการปฏิบัติหน้าที่และแสดงหลักฐานที่ชอบด้วยกฏหมาย มาสู้ มาแสดงในกระบวนการยุติธรรมต่อไป 

 

แล้วถามกลับว่า แล้วคดีอื่นๆ คดีใหญ่ๆ ที่ผมได้ไปดำเนินคดี กับนายทุนพวกนั้น นั่นก็แสดงว่า เงินอยู่เหนือกฏหมายซิครับ แล้วต่อไป เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า จะอยู่อย่างไร และถ้าเป็นจริง ต่อไปใครจะปกป้องผืนป่า ใครจะออกมาลาดตระเวนปกป้องป่าและสัตว์ป่าอีกต่อไป 

ผมขอเพียงว่า ขออย่าให้เกิดเรื่องแบบนี่อีกเลย เราทุกคนพวกเราทุกคนควรช่วยกันดูแลทรัพยากรป่าไม้และดูแลสัตว์ป่า ให้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างใช้ชีวิต อย่ารังแกกัน ทุกสรรพสิ่ง และทุกสิ่งมีชีวิต จะได้อยู่อย่างเกื้อกูลกัน อยู่อย่างมีความสุขร่วมกันครับ และขณะนี้ เวลานี้ ผู้บริหารระดับสูง รวมถึง นักการเมือง มองแต่ประโยชน์ของกลุ่มก้อนของตน เช่น ยกป่าสมบูรณ์ให้เอกชนทำธุระกิจใช้ประโยชน์จากป่ามากมาย

วันนี้ป่าที่ผู้บริหารให้นโยบายไว้ว่า จะต้องมีป่าที่สมบูรณ์ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ประเทศไทยจะต้องมีป่าเพิ่มให้ครบ 40% แต่วันนี้ เอาป่าอนุรักษ์ ที่เตรียมผนวกเป็นป่าสมบูรณ์ยกให้ เซ็นอนุญาตให้เอกชนเข้าใช้ประโยชน์ น่าจะมากกว่าแสนไร่แล้ว และผู้บริหารระดับสูง นักการเมือง ไม่เคยจะออกมาปกป้องเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าอย่างเป็นธรรม รวมถึงไม่มี ไม่เกิดจากความจริงใจ ที่จะร่วมกันปกป้องป่า สัตว์ป่า อย่างจริงใจ อีกด้วยเลย

 

"มีแต่แบบนี้ ยังไงป่าก็หมด การทำลายป่า การล่าสัตว์ป่า ไม่ได้เกิดเฉพาะจากขบวนการ แต่ถ้านโยบายของรัฐ คนของรัฐ นักการเมือง ยังทำกันแบบนี้ มันก็ไม่ต่างกับ คดีของคุณเปรมชัยเช่นกัน"

 

นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ในขณะเดียวกันที่ตน ถูก ปปท ชี้มูลให้ออกจากราชการ จากวันนั้นถึงวันนี้ มากกว่าสองร้อยวัน จาก 400 กว่าคดี ที่ตนกับน้องๆ หน่วยพญาเสือ ได้ดำเนินการ ดำเนินคดี มีหลายคดี อาศัยช่วงนี้ ช่วงที่ผมออกจากราชการ หลายคดี ถูกสอบสวน ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนจนถึงชั้นอัยการ มีการสั่งไม่ฟ้อง ไม่ฟ้องเด็ดขาด ทำให้รัฐเสียหาย และ ประชาชนคนไทยต้องเสียประโยชน์ จากการที่คดีสั่งไม่ฟ้อง และเรื่องที่ควรดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กลับถูกละเว้น ละเลย เช่น คดีดัง โรงแรมดัง บนเกาะช้างที่ตนกับน้องๆ หน่วยพญาเสือ ได้เข้าตรวจยึดดำเนินคดีกับเจ้าของ และสามารถพิสูจน์หาหลักฐาน ตามหลักวิทยาศาสตร์มาโต้แย้งจนได้ที่ดินคืนมา ประมาณ 25 ไร่ บนที่ดินมีสิ่งปลูกสร้าง นับร้อยล้าน และนับรวมมูลค่าสูงกว่าพันล้าน แต่พนักงานสอบสวน อัยการ กลับมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว และยังมีอีกหลายคดีที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง