หลังการแพร่ระบาดของ“โควิดกลายพันธุ์โอมิครอน”ได้สร้างความหวาดหวั่นขวัญผวาไปทั่วทุกมุมโลกอีกครั้ง ด้านผู้เชี่ยวชาญขอ'องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า
‘โอมิครอน’ แพร่ระบาดในอัตราเร็วที่สุด เร็วกว่าการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ทั้งหลายที่ผ่านมา ปัจจุบัน “โอมิครอน”กำลังแพร่ระบาดไปแล้วกว่า 39 ประเทศ ทั้ง สหรัฐ สหราชอาณาจักร เบลเยียม อิสราเอล แคนาดา มาเลเซีย และฮ่องกง
ซึ่งหากสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ระลอกนี้ มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อาจทำให้สถานการณ์ซ้ำรอยเหมือนเช่นดั่งเช่นกรณีการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตา ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักลง
อีกทั้ง ในขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า บรรดาวัคซีนต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพของมันจะสามารถช่วยป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะป้องกันเจ้าวายร้ายโคมิครอนใหม่นี้ได้สักกี่เปอร์เซ็นต์!!
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ในหลายๆ ประเทศจำเป็นต้องงัดมาตรการคุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดโดยเฉพาะมาตรการจำกัดการเดินทาง เช่น การขึ้นบัญชีห้ามเที่ยวบินจากประเทศเสี่ยงเข้าประเทศ ไปจนถึงการปิดประเทศ
ล่าสุดข่าวดังระดับโลก หลังทางการญี่ปุ่นได้ประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้ม โดย นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นของญี่ปุ่น ประกาศปิดประเทศโดยห้ามผู้โดยสารต่างชาติจากทุกประเทศทั่วโลกเข้าประเทศชั่วคราว เริ่มตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 30 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา
สำหรับมาตรการของประเทศไทย
ได้มีประกาศ ห้ามนักท่องเที่ยวจาก 8 ประเทศเสี่ยงทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.2564 และกลับไปใช้มาตรการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR แก่บุคคลต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยเช่นเดิมอีกครั้ง หลังจากประกาศผ่อนคลายมาตรการไปเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา
ด้านภาคเอกชนกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐงัดมาตราการล๊อคดาวน์ปิดประเทศอีกครั้งหนึ่งก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวดิ่งลงไปอีกและแทบมองไม่เห็นโอกาสที่จะฟื้นตัวในเร็ววัน
ล่าสุด นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะรับมือได้ จึงขอให้ทุกภาคส่วนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก และต้องการ์ดสูง ป้องกันการระบาด อีกทั้ง ยังต้องรอความเห็นของทางการแพทย์ว่าวัคซีนที่ปัจจุบันใช้กันอยู่นั้นสามารถรับมือได้มากขนาดไหน
ทั้งนี้ ในวันที่ 8 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมีการประชุมหารือ เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ฟังอีกมุมมอง จากทางด้านผู้ส่งออก นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ในเผยในประเด็นนนี้ว่า
ในระยะสั้นยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อมาอย่างต่อเนื่องนี้ สรท.ยังมั่นใจว่า การส่งออกของไทยจะเติบโตที่ 12-13 % แต่ปัญหาที่ผู้ส่งออกมองคือ วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันจะสามารถป้องกันโควิดสายพันธุ์ “โอมิครอน”ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน
“หากชัดเจนว่า วัคชีนป้องกันโควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้..ก็ไม่มีปัญหา แต่หากป้องกันไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลต่อภาคการส่งออก” นายชัยชาญ กล่าว
แม้ว่าในปัจจบันนี้ ยังไม่มีองค์กรไหน หรือหน่วยงานใดๆ ฟันธงออกมาได้ว่า “วายร้ายโอมิครอน” หรือ "โควิดกลายพันธุ์"ตัวนี้จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายเหมือน “สายพันธูุเดลตา” หรือไม่
โดยเฉพาะในประเด็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่โลกใบนี้มีอยู่ ในเรื่องของประสิทธิภาพ ณ ปัจจุบันนี้ จะมีประสิทธิผลมากน้อยไหน ซึ่งใน่วงเวลานี้ ทุกคนบนโลกต้องรอทุกข้อมูล ทุกรายงานวิจัยจากทางผู้เชี่ยวชาญ
แต่ที่แน่ๆ ณ วินาทีนี้ "โอมิครอน" เจ้าวายร้ายกลายพันธุ์ตัวนี้ ได้เขย่าขวัญโลกใบนี้..ไปแล้วอีกครั้ง!!