โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ธนกร วังบุญคงชนะ เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) "บมจ. เคหะสุขประชา" ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ พร้อมปรับเพิ่มกรอบงบลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หมวดลงทุนอื่นๆ ทั้งวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุน 245 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ กคช. ถือหุ้น 49% จากทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยให้ กคช. นำรูปแบบแนวทาง PPP (Public Private Partnership) ตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน มาใช้ในการดำเนินโครงการ
โดย“บมจ.เคหะสุขประชา” จะเป็นกลไกในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภาคที่อยู่อาศัย รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยในชุมชน โดยการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย โดยจัดทำโครงการบ้านเช่าฯ 100,000 หน่วย ภายใน 4 ปี (ปี 65-68)
โดยจะครอบคลุมคน 4 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้สูงอายุ , คนพิการ แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2ชั้น ที่ดิน 16 ตารางวา อัตราค่าเช่า 1,500 บาทต่อเดือน , กลุ่มคนโสด แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2ชั้น 16 ตารางวา อัตราค่าเช่า 2,000 บาทต่อเดือน ,กลุ่มครัวเรือนใหม่ แบบบ้านแฝดชั้นเดียว 17.5 ตารางวา ค่าเช่า 2,500 บาทต่อเดือน กลุ่มครอบครัว แบบบ้านแฝดชั้นเดียว 2 ชั้น ที่ดิน 20 ตารางวา เช่า 3,500 บาทต่อเดือน ประมาณการรายรับภายใน 4 ปี คือ 2565- 2568 เป็นเงิน 60,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บมจ.เคหะสุขประชา ยังจะรับซื้อทรัพย์สินที่เป็นอาคารคงเหลือ กคช. เช่นโครงการบ้านเอื้ออาทร ประมาณ 18,000 หน่วย ภายใน 2 ปี (ปี 64-66) นำมาบริหารการเป็นเวลาขาย 4 ปี พร้อมบริหารชุมชนของโครงการบ้านเช่าฯ และรับจ้างดูแลโครงการตามแผนแม่บทฯ รวม 200,000 หน่วย โดยจะคิดค่าดำเนินการพัฒนาธุรกิจ 5% ของรายได้ 40,000 บาทต่อครอบครัว ประมาณการรายรับ 2,400 ล้านบาทต่อปี และยังให้บริหารทรัพย์สินรอการพัฒนา Sunk cost 94 แปลง (4,571 ไร่) มูลค่ารวม 12,500 ล้านบาท ประมาณการรายได้ 125 ล้านบาท/ปี
สำหรับเงินทุนจดทะเบียนและสัดส่วนการร่วมทุน จะประกอบไปด้วยเงินทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยเงินลงทุนจาก กคช. จำนวน 245 ล้านบาท (คิดเป็น 49%) เงินลงทุนจากภาคเอกชน จำนวน 255 ล้านบาท (คิดเป็น 51% ) ซึ่ง บมจ.เคหะสุขประชา เป็นรูปแบบการร่วมทุนของภาครัฐและเอกชนเพื่อจะพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยเฉพาะที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแก่ผู้มีรายได้น้อยตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (60-79) อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในทุกระดับ เพื่อนำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน