10 ตุลาคม 2564 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีรายงานข่าวพบผู้ป่วยฟันผุเรื้อรัง ลุกลามจนกระทั่งติดเชื้อรุนแรง เกิดหนองบริเวณใบหน้า ใต้คาง แต่ไม่รับการรักษา ซึ่งอันตรายอย่างมากและควรต้องรีบทำการรักษา เพราะอาจส่งผลกระทบไปยังระบบทางเดินหายใจ เป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจสุขภาพช่องปากและฟันของตนเอง เนื่องจากฟันผุ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
การแปรงฟันไม่สะอาด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาจลุกลามไปถึงโพรงประสาทฟันทำให้เกิดการอักเสบ หากเชื้อโรคลุกลามไปที่รากฟัน เกิดหนอง จะส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญข้างเคียง ทั้งใบหน้า ลำคอ โพรงไซนัส และสมอง เสี่ยงต่อการติดเชื้อและกระจายไปอวัยวะต่างๆ ดังนั้นการป้องกันฟันผุจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ควรหมั่นสังเกตฟัน ของตนเอง ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ควรกินจุกจิก
ทันตแพทย์หญิงสุมนา โพธิ์ศรีทอง ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรมกล่าวเพิ่มเติมว่า ฟันผุเกิดจากการมีเศษอาหารไปค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาลจากอาหารที่เรารับประทานสัมผัสกับฟันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนแผ่นคราบฟันเปลี่ยนเป็นกรดที่มีฤทธิ์ทำลายผิวฟัน จนกระทั่งทำให้ฟันถูกกัดกร่อนทำลายเป็นรูผุ จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้าไปในเนื้อฟันจนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟัน
ทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบเป็นหนอง เมื่อการผุลุกลามมากขึ้น จะทำให้มีอาการเสียวฟันเมื่อรับประทานร้อนจัดหรือเย็นจัด และมีอาการปวดฟัน ซึ่งเมื่อฟันผุลึกถึงโพรงประสาทฟันแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะเกิดฝี หนองที่ปลายรากฟันเป็นช่องทางให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ส่วนต่าง ๆของร่างกายได้ ทั้งนี้ควรพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำทุก 6-12 เดือน
เพื่อทำการรักษาตั้งแต่ในระยะแรก ๆที่ยังไม่มีอาการและสามารถรักษาให้หายก่อนที่โรคจะลุกลามมากขึ้น รวมไปถึงการตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน และทำความสะอาดฟัน ซึ่งจะช่วยลดการเกิดโรคฟันผุ ช่วยป้องกันและยับยั้งปัญหาในช่องปากและโรคฟันอื่นๆ นอกจากนี้ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและก่อนนอน และใช้ไหมขัดฟัน เพื่อช่วยทำความสะอาดซอกฟันที่ขนของแปรงสีฟันเข้าไปไม่ถึง