การลงพื้นที่สุโขทัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในวันอาทิตย์ที่ 26 ก.ย. ท่ามกลางรายงานว่าจะมี ส.ส. รัฐมนตรี โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มสามมิตร ไปรอต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เจ้าของพื้นที่ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม
ซึ่งการลงพื้นที่ฐานเสียงกลุ่มสามมิตรในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ของนายกฯ ต่อเนื่องจากที่ไปจ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางข่าวคราวฝุ่นตลบภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เริ่มมีการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กับ รมช.แรงงาน หลังจากที่นายกฯปลด ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เสนอชื่อ 2 ส.ส. เข้าไปนั่งรัฐมนตรีทั้ง 2 ตำแหน่ง แม้ต่อมาเจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธข่าวไม่เป็นความจริง แต่ก็ทำให้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะในสายของ "ผู้กองธรรมนัส" ออกอาการไม่พอใจ เนื่องจากเป็นการข้ามขั้นตอน เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีทั้ง 2 เก้าอี้ เป็นโควต้าของพรรค ฉะนั้นจึงควรให้พรรคเป็นผู้เสนอรายชื่อบุคคลที่เหมาะสม
สถานการณ์เริ่มบานปลายเมื่อมีข่าวว่า จะมีการเรียกประชุมด่วนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐในสัปดาห์หน้า และทบทวนโควต้ารัฐมนตรีของพรรคทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่ารัฐมนตรีบางคนที่ทำหน้าที่อยู่ ไม่มีความเหมาะสม ไม่มีผลงาน และได้คะแนนโหวตจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อยู่ในลำดับรั้งท้ายถึง 2 ครั้ง
ขณะที่การลงพื้นที่ถี่ยิบของพล.อ.ประยุทธ์ ยังทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ว่านายกฯ เตรียมตัดสินใจยุบสภาหรือไม่ โดยนอกจากวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปสุโขทัยแล้ว วันพุธที่ 29 ก.ย. ก็ยังมีคิวไปจ.นครราชสีมา และวันที่ 30 ก.ย. ลงใต้ไปจ.นครศรีธรรมราช
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีข่าวว่า จ.ชัยภูมิ ก็เป็นอีก 1 พื้นที่ที่นายกฯจะไปตรวจราชการ เพราะประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่พอดี และมี ส.ส.พลังประชารัฐ อยู่ 2 คน จาก 6 คน โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการลงพื้นที่ตามความเหมาะสม
สำหรับกระแสข่าวยุบสภาฯ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีข่าว "ผู้กองธรรมนัส" สั่ง ส.ส.ลงพื้นที่เตรียมพร้อม และจะจัดตัวผู้สมัครให้เสร็จเรียบร้อยภายในเดือนก.พ.ปีหน้า ยิ่งทำให้กระแสดังกล่าวมาแรงยิ่งนัก
โดย ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า มีโอกาสสูงที่พล.อ.ประยุทธ์ จะตัดสินใจยุบสภาฯ และจัดเลือกตั้งใหม่ปีหน้า เพราะได้มีมติ ครม. ลดค่าน้ำ ค่าไฟ และสาธารณูปโภค ที่สำคัญให้ประชาชนยาวไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย. ปี 65 ซึ่งมองได้ว่าเป็นการหาเสียงล่วงหน้ารูปแบบหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกที่แก้ไขใหม่ เปลี่ยนระบบเลือกตั้งจาก "บัตรใบเดียว" เป็น "บัตรสองใบ" และเปลี่ยนสัดส่วน ส.ส.เขต กับ ส.ส.ปาร์ตีลิสต์ จาก 350-150 คน เป็น 400-100 คนด้วย
อาจารย์ไชยันต์ ยังสะท้อนด้วยว่า เมื่อแก้รัฐธรรมนูญจบ พร้อมกฎหมายลูก คือ กฎหมายเลือกตั้ง และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยมารยาทแล้วต้องยุบสภาฯ เพราะกติกาการเลือกตั้งเปลี่ยนใหม่แล้ว
หากเป็นไปตามไทม์ไลน์นี้ กฎหมายลูกน่าจะเสร็จทั้งหมดในสมัยประชุมหน้า ก็อาจจะยุบสภาฯได้ หลังจบสมัยประชุม คือ หลังเดือนก.พ. และจังหวะเวลาเลือกตั้งอาจจะเป็นช่วงราวๆ เดือนเม.ย. ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นช่วงที่รัฐบาลน่าจะได้เปรียบที่สุด เพราะงบประมาณถูกอัดฉีดลงพื้นที่ได้ระดับหนึ่งแล้ว สถานการณ์โควิดก็น่าจะคลี่คลาย และการปรับย้ายทหาร ตำรวจ ผู้ว่าฯ ก็เป็นไปตามโผที่วางตัวไว้ตั้งแต่ปีนี้ทั้งหมด
ส่วนอุบัติเหตุทางการเมืองที่อาจทำให้เกิดการยุบสภาฯ ก่อนเวลาก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งจากการตรวจสอบของ "เนชั่นทีวี" พบว่า การตราพระราชกำหนดโรคติดต่อ ขึ้นมาบังคับใช้แทนพระราชบัญญัติฉบับเดิม รัฐบาลจะต้องส่งให้ที่ประชุมสภาอนุมัติในวาระแรกที่มีการประชุม ก็คือช่วงเปิดสมัยประชุม ต้นเดือนพ.ย. หากพระราชกำหนดฉบับนี้โดนคว่ำ รัฐบาลต้องลาออก หรือนายกฯต้องยุบสภาฯ