svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

กสศ.จับมือ 7 สถาบันอุดมศึกษาผลิตครูรัก(ษ์)ถิ่นกันเด็กห่างไกลขาดแม่พิมพ์

21 กันยายน 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กสศ. ลงนามความร่วมมือกับ 7 สถาบันอุดมศึกษา เดินหน้าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 3 สร้างต้นแบบครูคุณภาพรุ่นใหม่ รองรับความเปลี่ยนแปลง ตอบโจทย์บริบทพื้นที่ เป็นนักพัฒนาทำงานร่วมกับชุมชน และแก้ปัญหาการโยกย้ายและขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล

21 กันยายน 2564 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พร้อมสถาบันอุดมศึกษา 7 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ​ได้ร่วมลงนามความร่วมมือเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ปีการศึกษา 2565 และร่วมรับฟังการชี้แจงถึงกระบวนทัศน์การผลิตครูเพื่อพัฒนาชุมชน และแนวทางการทำงานเพื่อเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครู ​ผ่านระบบออนไลน์ 

 

โดยรศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น กล่าวว่า กสศ. มุ่งมั่นให้โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา ที่นำไปสู่การพัฒนาครูของประเทศไทยอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการผลิตครูจากศูนย์กลาง ไปสู่การผลิตครูที่สอดคล้องกับพื้นที่ เน้นไปที่ผู้เรียนกำกับตัวเอง (Self-Directed Learning) 

 

ทั้งนี้ ครูต้องเปลี่ยนบทบาทการเป็นครูผู้สอน ไปสู่การเน้นเป็น "ครูโค้ช" อำนวยความสะดวก จัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้ศึกษา ให้สอดคล้องกับบริบทชุมชน ฐานทรัพยากร วัฒนธรรม นอกจากนี้ ครูยังมีบทบาทมากกว่าผู้สอน แต่ต้องเป็นนักพัฒนาและนำการเปลี่ยนแปลงสู่ชุมชน ครูจึงต้องได้รับการบ่มเพาะสมรรถนะที่หลากหลาย เป็นครูคุณภาพทำงานที่ร่วมกับชุมชนได้

 

กสศ.จับมือ 7 สถาบันอุดมศึกษาผลิตครูรัก(ษ์)ถิ่นกันเด็กห่างไกลขาดแม่พิมพ์

 

 

 

 

"สิ่งที่สำคัญคือครูต้องเป็นผู้รู้เท่าการเปลี่ยนการแปลง ต้องปรับตัวได้เร็ว ซึ่งเข้าใจว่าทั้ง 7 สถาบัน กำลังออกแบบแผนการผลิตครูแบบใหม่ เพราะปัจจุบันเรามีการสูญเสียการเรียนรู้เยอะจากการสอนออนไลน์ เนื่องจากที่ผ่านมา เราไม่ได้เตรียมตัวออกแบบการเรียนรู้รองรับสถานการณ์ เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมายิ่งเห็นความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้น" รศ.ดร.ดารณี กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น จะเตรียมความพร้อม ไม่ว่าในภาวะแบบไหน เด็กก็จะได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งครูจะต้องเป็นครูของชุมชน ที่มีการเรียนรู้ตลอดเวลา สถาบันการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการให้นักศึกษา มีสมรรถนะออกแบบการเรียนรู้ผสมผสานเทคโนโลยี เข้ากับบริบทพื้นที่ ชุมชน ทรัพยากร

 

รศ.ดร.ดารณี กล่าวด้วยว่า โดยต้องลงไปวิเคราะห์ศักยภาพ ครอบครัว ชุมชน ให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทการจัดการเรียนรู้ ร่วมกัน ท่ามกลางความท้าทายหลายประการ ซึ่งเชื่อมั่นว่าสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการนี้ จะผลิตและพัฒนาครูหัวใจเดียวกันที่จะดึงศักยภาพให้นักศึกษาจบมาเป็นครูที่ดี มีความสร้างสรรค์ มุ่งมั่นของชุมชน

 

ขณะที่ ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2563 โดยมาจากโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจำเป็นต้องคงอยู่เพื่อโอกาสทางการศึกษา เด็กท้องถิ่นไม่สามารถยุบควบรวมได้ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคุณภาพครูควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาครูโยกย้ายบ่อย จึงคิดวิธีให้คนในท้องถิ่นมาเรียนเป็นครู เพื่อกลับไปทำงานในบ้านเกิดตัวเอง

 

ขณะเดียวกัน ยังลดปัญหาการย้ายออกและขาดแคลนในอนาคต ซี่งมี 3 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ

 

1.การให้โอกาสเด็กยากจนในพื้นที่ห่างไกลได้เรียน รวม 5 รุ่น 1,500 คน เพื่อไปบรรจุเป็นครูใน 1,500 โรงเรียน

 

2.สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการเพื่อผลิตครูให้เป็นบัณฑิตและนักพัฒนาชุมชนรวมไปถึงการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเป็นต้นแบบพัฒนาครูต่อไป

 

3.โรงเรียนปลายทางซึ่งจะต้องร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพตามบริบบทของชุมชน

 

ทั้งนี้ จากที่ผ่านมา 2 รุ่น มีนักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่น 627 คน และ​รุ่นที่ 3 จะได้เพิ่มขึ้นอีก 240 คน ดังนั้น การร่วมลงนามความร่วมมือกับ 7 สถาบันครั้งนี้ มีความสำคัญมากที่จะนำไปสู่กระบวนการคัดเลือกที่เป็นต้นทางสำคัญ เปรียบเหมือนเดินทางมาถึงกลางทางของต้นน้ำ คือ การคัดเลือกสถาบันคุณภาพมาร่วมโครงการ ดำเนินการคัดเลือกบุคคลอยากเป็นครู เข้ามาเรียนและจบไปบรรจุเป็นครูที่โรงเรียน

 

โดยสถาบันอุดมศึกษายังมีภารกิจต้องติดตามเพื่อพัฒนาต่ออีก 6 ปี ดังนั้น การทำงานหนึ่งรุ่นจึงใช้เวลา 11 ปี นับเป็นโครงการระยะยาว ที่จะต้องมีการออกแบบการบริหารจัดการ การทำงานวิจัยรองรับ ด้วยความเชื่อมั่นว่าทุกมหาวิทยาลัยจะเป็นสถาบันต้นแบบ พัฒนาครูต่อไป

 

ด้าน ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ปรึกษากองทุน กสศ. กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นโครงการระยะยาวประมาณ 11 ปี ต้องอาศัยความต่อเนื่องระดับนโยบายและความต่อเนื่องของข้อมูล อีกทั้ง จากการทำงานของ กสศ. โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น สามารถเชื่อมโยงข้อมูล และการทำงานของ กสศ. ในโครงการอื่นๆ เช่น โครงการ TSQP กว่า 700 โรงเรียน ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี 700 โรงเรียน และ เครือข่ายอีก 11 ประเทศ​ ​

 

อย่างไรก็ตาม ครูถือว่ามีความสำคัญในการศึกษา​อย่างมาก และนับเป็นตัวคูณที่สำคัญ เพราะครูคนหนึ่งสามารถสอนหนังสือเด็กได้หลายพันคน การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มที่ครู ​จึงอยากเน้นย้ำว่าทุนที่ใช้ในโครงการ เป็นเงินภาษีของประชาชน อยากให้ช่วยเน้นย้ำกับนักศึกษา ที่ได้รับทุนว่าเงินทุกบากทุกสตางค์มาจากภาษีของประชาชน การใช้จ่ายต้องระมัดระวังและรู้คุณค่า

 

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษากองทุน กสศ. กล่าวว่า ถือเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านการผลิตครูสองชั้น ทั้งผลิตครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น และครูทั่วไป โดยการผลิตครูนั้นไม่ใช่แค่การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยเพียงแค่​ 4 ปี แต่ต้องติดตามดูแลต่อเนื่อง เมื่อจบไปเป็นครูในพื้นที่ เพราะจากที่ศึกษามาพบว่ากว่าจะเป็นครูที่เชี่ยวชาญ​ต้องใช้เวลา 5-7 ปี  จึงต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง

 

​ด้าน ผศ.ดร.สมบัติ โยธาทิพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กล่าวว่า ในพื้นที่ห่างไกลมีปัญหาเรื่องครูโยกย้ายบ่อย พอผ่านไป 2 ปี สอบบรรจุได้ก็ย้ายออก ​โครงการนี้จะสามารถแก้ปัญหา สร้างครูที่เป็นนักพัฒนาทั้งวิชาการและจิตวิญญาณความเป็นครู อีกทั้ง พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคุณภาพการศึกษาต่ำสุดในประเทศไทย ถ้าผลิตครูด้วยกระบวนการปกติ ก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ เช่น ในพื้นที่มีข้อจำกัดเรื่องเด็กพูดไทยไม่ได้

 

ทั้งนี้ ก็ต้องเน้นการผลิตครูตามบริบทพื้นที่ ซึ่งจะช่วยยกระดับครูนักพัฒนาอย่างแท้จริง เพราะ​การศึกษาเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากจะไปมุ่งแก้ไขปัญหาแต่เพียงในมิติสังคม เศรษฐกิจ ขณะที่การศึกษาไม่เข้มแข็ง ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ ​ ​

 

รศ.ดร.เกีรยรติสุดา ศรีสุข คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การทำงานที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยได้ร่วมงานกับ กสศ. ในการผลิตครูตามความต้องการของชุมชน ตั้งแต่ระบบคัดเลือกเด็กที่มีความเหมาะสม โดยประสานความร่วมมือกับผู้นำชุมชน และให้คณาจารย์บูรณาการการลงพื้นที่เพื่อให้ได้ครูรุ่นใหม่ ที่ไปทำงานร่วมกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ โดยเน้นเรื่องอัตลักษณ์พื้นที่ ซึ่งใช้ข้อมูลจากบิ๊กดาต้า (big data) มาออกแบบการเรียนการสอน สร้างสมรรถนะชั้นสูง

 

ซึ่งมีการออกแบบวิชาใหม่ ๆ เพื่อให้เด็กได้รอบรู้ โดยจะมีการออกแบบร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ แม้กระทั่งเภสัชฯ ที่จะได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพร สิ่งสำคัญ คือ การติดอาวุธทางวิชาการ และวิชาชีพให้ครูไปใช้งานได้จริง ส่วนใหญ่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล จะมีลักษณะครูไม่ครบชั้น ดังนั้น ครูจะต้องสอนเด็กได้ทุกชั้น ทุกวิชา

logoline