นักวิจัยเผย มลพิษในอากาศลดอายุขัยชาวอินเดียได้ถึง 9 ปี

พื้นที่ภาคเหนือของอินเดียในขณะนี้ถูกจัดให้เป็น “ระดับมลพิษทางอากาศร้ายแรงที่สุดในโลก” กลายเป็นปัญหาแพร่กระจายลุกลามไปยังส่วนอื่นของประเทศ ถือเป็นเรื่องปกติภายในอินเดียที่ครองอันดับมลพิษทางอากาศของโลก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคปอดหรือทางเดินหายใจนับล้านคนต่อปี

นักข่าวบีบีซีในอินเดียรายงานว่า ปริมาณฝุ่นละอองของอินเดียในตอนนี้ทำให้แม้อยู่ในรถยังหายใจได้ยาก มองเห็นตึกหรือสถานที่ภายในเมืองเห็นแค่ภาพเงารางๆ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่ภาคการเกษตรก่อนถูกพัดมาสู่พื้นที่เมือง 

รายงานจากสถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกกล่าวว่า คุณภาพอากาศในอินเดียแย่กว่าระดับมลพิษที่อื่นในโลกถึง 10 เท่า ปัญหาด้านมลพิษทางอากาศเรื้อรังภายในอินเดียยาวนานหลายสิบปี แผ่ขยายครอบคลุมไปถึงพื้นที่ทางตะวันตกและตอนกลางของอินเดีย นั่นทำให้อายุเฉลี่ยของคนในพื้นที่ลดลง 2-3 ปี เมื่อเทียบกับข้อมูลในปี 2000

รายงานยังกล่าวถึงดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศระบุว่า คุณภาพชีวิตและอายุขัยของผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงนิวเดลี สามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 10 ปี หากสามารถลดระดับมลพิษทางอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรได้

แต่ในปี 2019 ค่าฝุ่นละอองเฉลี่ยของอินเดียมากถึง 70.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือเป็นค่ามลพิษทางอากาศสูงที่สุดในโลก ไม่ใช่แค่ในอินเดีย ประเทศใกล้เคียงอย่างเนปาล บังกลาเทศ และปากีสถาน ประเทศที่มีจำนวนรวมประชากรกว่าหนึ่งในสี่ของโลก ติดอันดับประเทศที่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงสุดมาหลายปี

นั่นทำให้รัฐบาลอินเดียไม่นิ่งนอนใจ เกิดนโยบายและความเปลี่ยนแปลงในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศมาสักระยะ เช่น โครงการอากาศสะอาดแห่งชาติ ในปี 2019 มีเป้าหมายในการลดมลพิษหรือสารที่เป็นอันตรายต่ออากาศภายในประเทศ นี่เป็นนโยบายสำคัญที่จะส่งผลต่อสุขภาพของชาวอินเดียโดยรวม โดนคาดว่าจะเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยประชาชนได้ราว 2-3 ปีครึ่งต่อคน หรืออาจช่วยให้ชาวอินเดียนับจากนี้อายุยืนขึ้นอีก 5 ปีทีเดียว

ตัวอย่างความสำเร็จในการลดมลพิษทางอากาศเกิดขึ้นในประเทศจีน ที่สามารถลดมลภาวะต่ออากาศได้ในเวลาอันสั้น ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา ปริมาณค่าฝุ่นละอองภายในอากาศของจีนลดลงกว่า 29%