25 สิงหาคม 2564 จากรายได้ของภาครัฐที่ลดลง สวนทางกับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้มีข้อเสนอจากนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการจำนวนมากที่เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% รวมทั้งนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาทเพื่อดูแลเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 และปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10%
มติ ครม.ในวันที่ 24 ส.ค.2564 เห็นชอบ ขยายระยะเวลาการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7 % ที่จะครบกำหนดวันที่ 30 ก.ย. 2564 ต่อไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2564 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2566 โดยจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน จะทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19
โดยยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีในอัตราเดิม คือ 7 % (รวมภาษีท้องถิ่น) หรืออัตรา 6.3 % (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) ทั้งนี้การขยายระยะเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยคงอัตราเดิม 7 % จะไม่ผลกระทบต่อการประมาณการรายได้ในปีงบประมาณพ.ศ. 2565 และ พ.ศ.2566 เนื่องจากในการจัดทำงบประมาณได้มีการคำนวณประมาณการรายได้ โดยใช้ข้อมูลพื้นฐานการคำนวณของอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในอัตรา7% แล้ว
เหตุผลที่ ครม.ยังคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 7% และอนุมัติแป็นระยะเวลา 2 ปี เนื่องจากมีการพิจารณาเหตุผลที่กระทรวงการคลังรายงาน ว่าการขยายระยะเวลาในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรานี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563
และในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นวงกว้าง การบริโภคภาคเอกชน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลง
ประกอบกับรายได้ของภาคการท่องเที่ยวที่ยังหดตัวสูง จากมาตรการการจำกัดการเดินทางในประเทศและระหว่างประเทศ จึงอาจทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5 - 2.5% จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและประมาณการค้าโลกที่ยังทำให้การส่งออกขยายตัวได้ แต่ตัวเลขดังกล่าวในการคาดการณ์เศรษฐกิจของกระทรวงการคลังก็คาดว่าจะมีการทบทวนประมาณการต่ำลง
ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้มีการรายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่ากระทรวงฯ
ได้มีการประมาณการสูญเสียรายได้จากมาตรการนี้ เพราะจากการคำนวณโดยปกติหากสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้นทุกๆ 1% จะได้ 7 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อไม่มีการขยับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นภาครัฐก็จะยังไม่ได้รายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้