
21 ธันวาคม 2568 ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ “ล้างหนี้” และ “ลดรายจ่าย” ให้พี่น้องประชาชนเป็นหลัก แต่นโยบายเกี่ยวกับ “ซอฟต์พาวเวอร์” ไม่ค่อยถูกพูดถึงเหมือนการเลือกตั้งรอบที่แล้ว
สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขับเคลื่อนผลักดันนโยบาย “ซอฟต์พาวเวอร์” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ถูกวิจารณ์หนักว่าผิดทิศผิดทาง และไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แถมใช้งบประมาณมหาศาล
แต่ส่วนใหญ่เน้นทำในรูปแบบ “อีเวนท์” จากงานประเพณีที่มีอยู่แล้ว นำมาปลุกการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง เช่น สงกรานต์ หรือลอยกระทง ซึ่งไม่มีอะไรใหม่
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว “ซอฟต์พาวเวอร์” สามารถนำมาสร้าง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “สร้างรายได้อย่างยั่งยืน” ให้กับประชาชนรากหญ้าในท้องถิ่นได้ทั่วทั้งประเทศไทย
แต่การจะไปสู่จุดนั้น ต้องทำความเข้าใจ “ซอฟต์พาวเวอร์” ในแนวคิดใหม่ ที่ไม่ใช่ชวนไปเที่ยววัดวาอาราม หรือร่วมงานลอยกระทง แต่ต้องนำ “ทุนวัฒนธรรมชุมชน” ซึ่งมีคุณค่าในตัวเองจากแต่ละท้องถิ่น มาสร้างมูลค่า
โดยใช้ “พลังทางวัฒนธรรม” ในระดับท้องถิ่นร่วมฟื้นฟู อนุรักษ์ สืบสาน พัฒนา เพื่อขับเคลื่อนสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับคนในพื้นที่เอง
และเมื่อแนวทางนี้ขยายไปทั่วประเทศ ทุนวัฒนธรรมชุมชน ก็จะกลายเป็น “ทุนชาติ” ซึ่งก็คือการนำซอฟต์พาวเวอร์มาสร้างเศรษฐกิจประเทศนั่นเอง
อุปสรรคปัญหาของการทลายกรอบแนวคิดนี้ก็คือ การค้นหา “ทุนวัฒนธรรม” ของท้องถิ่น ซึ่งบางพื้นที่ บางชุมชน ไม่ได้มีวัดเก่าแก่ ไม่ได้มีโบราณวัตถุ หรือโบราณสถาน
แต่สิ่งที่ทุกชุมชนมีเหมือนกัน คือ “วิถีชีวิตของผู้คน” และนี่คือแนวคิดใหม่ เป็นการนำ “วิถีชีวิต” มาเป็นทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้ทุกพื้นที่ ทุกชุมชน มีโอกาสในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของตัวเอง และต่อยอดไปถึงวัฒนธรรมอื่นๆ ของชุมชน
อย่างเช่น โมเดล “หลาดชุมทางทุ่งสง” (หลาด ภาษาใต้ หมายถึงตลาด) ที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟ ไม่ได้มีสถาปัตยกรรม หรือวัดวาอารามเก่าแก่
แต่สามารถนำวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในแบบของ “เมืองชุมทางรถไฟ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขายตั้งแต่ในอดีต
นำมาสร้างเป็นจุดขาย ก็คือ “เปิดตลาดชุมทางทุ่งสง”
แต่การเปิดตลาด ไม่ใช่แค่เปิดให้นำของมาวางขาย แต่ต้องเป็นสินค้าที่เป็น “วัฒนธรรมท้องถิ่น” เช่น อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น หรือ ศิลปะ หัตถกรรม การแสดง รวมไปถึงประเพณีต่างๆ จากนั้นก็ต่อยอดขยายเป็นเทศกาล และเป็นย่านวัฒนธรรม จัดเป็นปฏิทินการท่องเที่ยว รายสัปดาห์ รายเดือน วนไปตลอดทั้งปี สร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน
อย่างตลาดชุมทางทุ่งสง เปิดมากำลังจะครบ 8 ปี ลงทุนครั้งละ 7 พันบาท เก็บเงินผู้ค้าแค่ร้านละ 50 บาท แต่สร้างรายได้ครั้งละ 6-7 แสนบาท ปีละกว่า 20 ล้านบาทเลยทีเดียว
หรืออย่าง “โมเดล พนัสนิคม” ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างกรุงเทพฯ ขับรถแค่ชั่วโมงเศษๆ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ยุคทวาราวดี และเชื่อกันว่าเป็น “เมืองพระรถ” จากวรรณคดีเรื่องนางสิบสอง แต่กลับไม่ค่อยมีคนรู้จัก
ภายหลังจึงมีการนำ “วิถีชีวิต” มาเป็นจุดขายด้าน “ทุนวัฒนธรรม” มีการฟื้น “ย่าน” ต่างๆ ของเมือง เช่น ย่านเมืองเก่า นำวิถีชีวิตคนจริงๆ ไปสร้างงาน street art โดยคนในภาพ เป็นคนจริงๆ มีร้านจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อย่านเมืองเก่าได้รับความสนใจ ก็ต่อยอดกิจกรรมและทุนวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ของพนัสนิคม เช่น การเป็นศูนย์เครื่องจักสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ “เอ็งกอ” ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงของชาวจีน ที่มีการวาดลวดลายบนใบหน้า แทนคาแรกเตอร์ตัวละครจีน เป็นตำนาน 108 นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน
ซึ่งมีการแสดงแบบนี้เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย
ปัจจุบัน พนัสนิคมมีกิจกรรม เทศกาล และย่านต่างๆ รอต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะ 3 มหกรรมหลัก คือ “บ้าน สาน ใจ” play พนัสนิคม และเทศกาลเอ็งกอ ทำรายได้สะสมมากกว่า 7 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้คือแนวคิดจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศิลปากร และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันต่อยอดเปิดเป็นหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงของชาติด้านการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในพื้นที่”
โดยร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า และมูลนิธิเสริมสร้างพลังชุมชนวัฒนธรรมและธรรมาภิบาล