svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

“เรือดำน้ำไทย” คำถามคาใจ “คุ้มค่า-โปร่งใส” แค่ไหน?  

18 สิงหาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ลงมติผ่านงบของกองทัพเรือไปเรียบร้อย รวมถึงงบประมาณต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรือดำน้ำด้วย ซึ่งอาจสงสัยว่า กองทัพเรือถอนงบเรือดำน้ำลำที่  2 กับ 3 ไปแล้ว เหตุใดยังมีงบในส่วนอื่นๆ คงค้างอยู่อีก

เรือดำน้ำที่ไทยจัดซื้อจากจีนแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” เป็นเรือดำน้ำรุ่น “Yuan Class” รหัส S-26T โดยตัว T หมายถึง ไทยแลนด์ ถือเป็นรุ่นที่จีนออกแบบให้เป็นพิเศษ

 

“เรือดำน้ำไทย” คำถามคาใจ “คุ้มค่า-โปร่งใส” แค่ไหน?  

 

สเปคของเรือดำน้ำไทย มีขนาดยาวของตัวเรือ 77.7 เมตร กว้าง 8.6 เมตร สูง 9.2 เมตร จัดเป็นเรือดำน้ำขนาดใหญ่ มีระวางขับน้ำขณะดำ 3,200 ตัน ใช้เครื่องยนต์ ดีเซลไฟฟ้า และมีระบบขับเคลื่อนแบบ AIP หรือระบบขับเคลื่อนโดยปราศจากอากาศ ทำให้สามารถดำอยู่ใต้น้ำโดยไม่ต้องโผล่ขึ้นบนผิวน้ำ เพื่อชาร์จไฟได้นานสูงสุดถึง 21 วัน

 

โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน ทั้งสิ้นจำนวน 3 ลำ ซื้อและจ่ายเงินไปแล้ว 1 ลำ คาดว่าจะได้เรือในปี 2567 ฉะนั้นแม้จะถอนโครงการจัดซื้อลำที่ 2 กับ 3 แต่เรือดำน้ำก็ยังต้องถูกส่งมาถึงไทยอยู่ดี เหตุนี้โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับเรือดำน้ำ จึงต้องเดินหน้าต่อไป และนี่คือที่มาของ 11 โครงการ ที่ใช้งบประมาณถึง 8,723 ล้านบาท

 

เริ่มจาก

 

-โครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำ ที่ท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ มี 2 ระยะ 2 โครงการ งบรวม 1,850 ล้านบาท

 

-โรงซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ 995 ล้านบาท

 

-คลังเก็บตอร์ปิโด และทุ่มระเบิดสนับสนุน 130 ล้านบาท

 

-คลังอาวุธปล่อยนำวิถี และอาคารทดสอบ 138 ล้านบาท

 

-โครงการผลิตแผนที่เรือดำน้ำ 2 โครงการ งบ 265 ล้านบาท

 

-อาคารพักข้าราชการ กองเรือดำน้ำ 294 ล้านบาท

 

-เรีอลากจูงขนาดกลาง 366 ล้านบาท

 

-เรือเอนกประสงค์ยกพลขึ้นบก สนับสนุนเรือดำน้ำ 4,385 ล้านบาท

 

-และระบบสื่อสารควบคุมบังคับบัญชาเรือดำน้ำ 300 ล้านบาท

 

รวมทั้งหมด 11 รายการ 8,723 ล้านบาท

 

“เรือดำน้ำไทย” คำถามคาใจ “คุ้มค่า-โปร่งใส” แค่ไหน?  

 

 


 

งบประมาณเกือบ 9 พันล้านบาทนี้ ไม่รวมกับงบจัดซื้อตัวเรือ 3 ลำ มูลค่า 36,000 ล้านบาท ซึ่งมีลักษณะ “ซื้อ 2 แถม 1” เพราะโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือตั้งแต่เริ่มต้น ต้องการจัดหาเพียง 2 ลำเท่านั้น ในกรอบงบประมาณ 36,000 ล้านบาท ซึ่งมี 6 ประเทศ เสนอโครงการเข้ามา

 

โดยที่จีนมีข้อเสนอคลุมเครือ ซื้อแล้วได้ 3 ลำ ในจำนวนงบประมาณที่เท่ากัน ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นธรรมกับผู้เสนอราคารายอื่นหรือไม่ เนื่องจากเสนอราคาบนเงื่อนไขคนละอย่าง

 

นอกจากนั้น จุดเด่นของเรือดำน้ำจีนที่บอกว่า “ถูกและดี” ยังมีคำถามว่าดีจริงหรือไม่ เพราะการได้เรือลำใหญ่ ดำน้ำได้ลึกๆ นานๆ อาจไม่เหมาะสมกับ “ยุทธบริเวณ”  ของไทย

 

ย้อนกลับไปที่แนวคิดทางยุทธการของกองทัพเรือ ต้องการเรือดำน้ำแบบ “ตัวเรือชั้นเดียว” ระวางขับน้ำมากกว่า 1,000 ตัน แต่ต้องไม่เกิน 2,000 ตัน มีตอร์ปิโด และอาวุธปล่อยนำวิธี

 

สอดคล้องกับยุทธบริเวณของอ่าวไทย และชายฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของเรือดำน้ำไทย มีความลึกต่ำกว่า 60 เมตร ยิ่งใกล้ชายฝั่ง ความลึกลดเหลือเพียง 20-25 เมตร ขณะที่เรือดำน้ำที่ไทยซื้อมา ต้องการความลึกมากกว่า 60 เมตรขึ้นไป จึงจะปฏิบัติการอย่างคล่องตัว และระวางขับน้ำที่มากถึง 3,200 ตัน ทำให้โมเมนตัมสูง ควบคุมยาก

 

การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด 18 น็อต หรือ 33 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ทำได้เพียง 10 นาที ระบบ AIP ที่ช่วยให้เรืออยู่ใต้น้ำได้ถึง 21 วัน เกิดคำถามว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน แถมยังเสี่ยงอันตราย

 

“เรือดำน้ำไทย” คำถามคาใจ “คุ้มค่า-โปร่งใส” แค่ไหน?  

 

เงื่อนไขจากจีน ยังให้ “ตอร์ปิโด” ลูกจริงเพียง 4 ลูก ลูกฝึก 2 ลูก ส่วนอาวุธปล่อยนำวิธี และอะไหล่ เป็นออปชั่นเสริม ไม่รวมในข้อเสนอ

 

เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นข้อด้อยของเรือดำน้ำจีนที่กองทัพเรือจัดหามาหรือไม่ เพราะข้อเสนอและสิ่งที่ได้ ต่ำกว่าเรือดำน้ำรุ่นอื่นที่เสนอโครงการเข้ามา ส่วนคุณสมบัติที่เรือดำน้ำจีนเหนือกว่า ก็ดูจะไม่มีความจำเป็น

 

ข้อมูลทั้งหมดจึงชี้ให้เห็นว่า โครงการจัดซื้อจัดหาเรือดำน้ำจากจีน มีความโปร่งใสแค่ไหน และข้อท้วงติงคัดค้าน จะยังไม่จบ แม้หน่วยงานที่ถูกปรับลดงบลงมากที่สุด คือ กระทรวงกลาโหม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบจัดซื้ออาวุธ โดยยุทโธปกรณ์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และถูกแตะเบรกจนหัวทิ่ม คือ “เรือดำน้ำ”

“เรือดำน้ำไทย” คำถามคาใจ “คุ้มค่า-โปร่งใส” แค่ไหน?  

 

แม้งบจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 กับ 3 จะถูกกองทัพเรือถอนออกไปแล้ว แต่ฝ่ายค้านยังคาใจ และจะหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นอภิปรายแน่ในช่วง 3 วัน

 

ขณะที่โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ มีปัญหาที่ถูกตั้งคำถามหลายข้อมาตั้งแต่ต้น งานนี้จึงไม่จบง่าย และอาจลามไปถึงเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย 

logoline