14 ส.ค.64 สถานการณ์วิกฤตโควิดที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิถีชีวิตของหลายครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอยู่ในวัยเรียนก็ต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น น.ส.จิตมณี นิ่มหัตถา ข้าราชการประจำหน่วยงานแห่งหนึ่งในจ.บุรีรัมย์ เธอต้องพาน้องอุณๆ ลูกชายวัย 8 ขวบ ซึ่งปัจจุบันกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.2 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัด มานั่งเรียนออนไลน์ที่สำนักงานด้วย เพื่อที่เธอจะได้ทำงานตามภารกิจหน้าที่ ควบคู่กับการดูแลลูกชายช่วงที่เรียนออนไลน์ไปด้วย เธอยอมรับว่าการเรียนออนไลน์แม้เด็กจะเข้าใจยาก และไม่ได้รับความรู้เต็มที่เหมือนกันการไปเรียนที่โรงเรียน แต่ด้วยสถานการณ์วิกฤติแบบนี้ ก็คงเป็นทางเลือกเดียวที่สามารถทำได้ ณ เวลานี้
สำหรับกระแสที่จะประกาศปิดเรียนเป็นเวลา 1 ปีทั่วประเทศนั้น ส่วนตัวมองว่ามีทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีคือความปลอดภัยของครู ผู้ปกครอง และเด็กนักเรียนเอง โดยเฉพาะบุรีรัมย์ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่สีแดงที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวเด็กก็จะขาดความรู้และมีผลต่อพัฒนาการตามวัยด้วย แต่หากให้เรียนออนไลน์ถึงแม้จะเพิ่มภาระกับผู้ปกครองที่ต้องซื้ออุปกรณ์เช่น มือถือ โน๊ตบุ๊ก และค่าอินเตอร์เน็ตสำหรับให้ลูกเรียน แต่ก็ทำให้เด็กได้พูดคุยสื่อสารกับครู และเพื่อนๆ บ้าง ดีกว่าให้เด็กมีเวลาว่างมากจนเกินไป แต่หากเรียนออนไลน์ก็อยากฝากให้รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเทอม ค่าอินเตอร์เน็ต หรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้กับผู้ปกครองบ้าง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนที่มีค่าเทอมค่อนข้างสูง
ไม่ต่างจากนายชาญชัย เพชรศรี พ่อค้าร้านขายของชำ ซึ่งมีลูก 2 คน เรียนอยู่ชั้น ป.3 และอนุบาล ต้องลงทุนซื้อมือถือส่วนตัวให้ลูกเพื่อใช้เรียนออนไลน์เครื่องละ 4 พันกว่าบาท และค่าแพ็กเก็ตอินเตอร์เน็ตอีกเดือนละ 200 บาท ทำให้ผู้ปกครองมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังกระทบต่อการประกอบอาชีพ เพราะช่วงที่ขายของก็ต้องคอยดูและสอนลูกเรียนออนไลน์ไปด้วย เพราะการเรียนผ่านระบบออนไลน์เด็กเข้าใจยากกว่าที่ครูเขียนหรืออธิบายบนกระดาน อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเพิ่มภาระหรือได้ความรู้ไม่เต็มที่เหมือนกับการไปเรียนที่โรงเรียน แต่ส่วนตัวก็มองว่าด้วยวิกฤติแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่น แต่หากให้หยุดเรียน 1 ปีไปเลย จะเป็นผลเสียมากกว่าการเรียนออนไลน์ เพราะอย่างน้อยเด็กก็ได้พูดคุยสื่อสาร หรืออ่านเขียน ทบทวนความรู้บ้าง