ความเร็วของตาลีบันที่รุกคืบหน้าในอัฟกานิสถาน ดูเหมือนจะทำให้หลายคนประหลาดใจ เมืองสำคัญในภูมิภาคต่าง ๆ ดูเหมือนจะล้มตาม ๆ กันไปเหมือนกับโดมิโน
แรงหนุนเนื่องตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอยู่กับกลุ่มติดอาวุธ ขณะที่รัฐบาลอัฟกานิสถาน ได้แต่พยายามที่จะรั้งอำนาจเอาไว้ให้อยู่
รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่รั่วออกมาคาดการณ์ว่ากรุงคาบูลอาจถูกโจมตีภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ และรัฐบาลอาจล้มภายใน 90 วัน
แล้วมันรวดเร็วแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?
สหรัฐฯ และพันธมิตรนาโต ใช้เวลาส่วนใหญ่ของช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หมดไปกับการฝึกและติดอาวุธให้กองกำลังความมั่นคงอัฟกานิสถาน
นายพลชาติตะวันตกจำนวนนับไม่ถ้วนอ้างว่าได้สร้างกองทัพอัฟกันที่ทรงพลัง และมีความสามารถมาก แค่คำพูดนั้นในวันนี้ ค่อนข้างจะว่างเปล่า
ในทางทฤษฎีแล้ว รัฐบาลอัฟกานิสถาน ควรถือไพ่ที่เหนือกว่าด้วยกำลังที่ใหญ่กว่า
กองกำลังความมั่นคงอัฟกานิสถาน ซึ่งรวมถึงกองทัพบก กองทัพอากาศ และตำรวจ มีจำนวนมากกว่า 300,000 นาย
หรืออย่างน้อย ๆ ก็บนกระดาษ
เพราะในความเป็นจริง ประเทศพยายามดิ้นรนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสรรหาบุคลากรมาทำงานในกองกำลังโดยตลอด
กองทัพบกและตำรวจมีประวัติเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตาย การหนีทัพ และการทุจริตอย่างมาก ผู้บัญชาการที่ไร้ยางอายบางคนรับเงินเดือนของทหารที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเรียกว่า "ทหารผี"
ในรายงานล่าสุดที่ส่งไปยังสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกา ผู้ตรวจการพิเศษในประเด็นปัญหาอัฟกานิสถานได้แสดงถึง
"ความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบจากการกัดกร่อนของการทุจริต ... และความถูกต้องของข้อมูลที่น่าสงสัยเกี่ยวกับกำลังพลที่แท้จริงของกองกำลัง"
แจ็ค วัตลิ่ง จาก Royal United Services Institute บอกว่าแม้แต่กองทัพอัฟกัน ก็ไม่เคยแน่ใจว่าพวกเขามีกำลังพลมากแค่ไหน
นอกจากนี้ กองทัพยังมีปัญหากับการบำรุงรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์และขวัญกำลังใจ ทหารมักจะถูกส่งไปยังพื้นที่ที่พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ทางชนเผ่าหรือครอบครัว นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่บางคนอาจละทิ้งที่มั่นอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำการต่อสู้
สำหรับกำลังพลของตาลีบันนั้น วัดได้ยากยิ่งกว่าเสียอีก
จากรายงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ ที่เวสต์พอยต์ชี้ว่ากองกำลังหลักตาลีบันมี 60,000 นาย และด้วยการเพิ่มอาสาสมัครและผู้สนับสนุนอื่น ๆ เข้าไป จำนวนก็อาจเพิ่มเป็น 200,000 คน
แต่ไมค์ มาร์ติน อดีตนายทหารอังกฤษซึ่งได้ติดตามประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งในอัฟกานิสถานในหนังสือของเขาชื่อ An Intimate War เตือนถึงอันตรายของการมองว่ากลุ่มตาลีบันเป็นกลุ่มหลักกลุ่มเดียว
"กลุ่มตาลีบันนั้นก็เหมือนกับพันธมิตรอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มผู้ถือเฟรนไชส์อิสระ ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาจจะเชื่อมโยงซึ่งกันและกันชั่วคราว "
เขาตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลอัฟกานิสถานเองก็ได้รับแรงบันดาลใจการจับกลุ่มของคนในท้องถิ่นเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานแสดงให้เห็นว่าครอบครัว ชนเผ่า และแม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เปลี่ยนข้างกันบ่อยครั้งเพียงใด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะอยู่รอด
ในเรื่องการเข้าถึงอาวุธก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลอัฟกานิสถานควรจะได้เปรียบทั้งในด้านเงินทุนและอาวุธ
พวกเขาได้รับเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนทหารและอาวุธยุทโธปรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ในรายงานเดือนกรกฎาคม 2564 ระบุว่ามีการใช้จ่ายเงินมากกว่า 8 หมื่น 8 พันล้านดอลลาร์เพื่อความมั่นคงของอัฟกานิสถาน แต่รายงานก็เสริมว่า:
"คำถามที่ว่าเงินนั้นถูกใช้ไปอย่างดีหรือไม่ ในที่สุดคำตอบจะออกมาในรูปของผลลัพธ์ในการต่อสู้ทางภาคพื้นดิน "
กองทัพอากาศอัฟกานิสถานควรให้ผลลัพธ์ที่ดี จากความได้เปรียบในสนามรบ
แต่พวกเขาก็วุ่นวายอย่างต่อเนื่องกับการบำรุงรักษาและหาคนมาทำงานกับเครื่องบิน 211 ลำ (ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อกลุ่มตาลีบันจงใจมุ่งเป้าไปที่นักบิน ) และไม่สามารถตอบสนองความต้องการของภาคพื้นดินได้
ดังนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้กองทัพอากาศสหรัฐจึงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันเมืองต่างๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การโจมตีของตาลีบัน และยังไม่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ ยินดีที่จะให้การสนับสนุนแบบนี้อีกนานเท่าใด
กลุ่มตาลีบันมักอาศัยรายได้จากการค้ายาเสพติด แต่พวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากภายนอกเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปากีสถาน
ไม่นานมานี้ กลุ่มตาลีบันได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์จากกองกำลังความมั่นคงอัฟกานิสถาน ซึ่งบางส่วนจัดหามาให้โดยสหรัฐฯ รวมถึงรถฮัมวีส์ กล้องมองตอนกลางคืน ปืนกล ปืนครก และปืนใหญ่
อัฟกานิสถานเต็มไปด้วยอาวุธหลังจากการรุกรานของสหภาพโซเวียต และกลุ่มตาลีบันก็ได้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่อาวุธที่พื้น ๆ ที่สุด ก็สามารถเอาชนะกองกำลังที่มีอาวุธที่ดีกว่าได้
ลองนึกถึงผลกระทบร้ายแรงของระเบิดแสวงเครื่องที่มีต่อกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรดู เรื่องนั้น รวมถึงความรู้ของท้องถิ่นและความเข้าใจต่อภูมิประเทศ เป็นข้อได้เปรียบของพวกเขา
แม้ว่าตาลีบันจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังมีหลักฐานของแผนประสานงาน ในการรุกล่าสุดของพวกเขา
เบ็น แบร์รี อดีตนายพลกองทัพอังกฤษ และปัจจุบันเป็นนักวิชาการอาวุโสที่สถาบันยุทธศาสตร์ศึกษา ยอมรับว่าการรุกคืบหน้าของตาลีบันอาจเป็นเรื่องของการฉวยโอกาส แต่ก็เสริมว่า
"ถ้าคุณต้องเขียนแผนการรบ ผมก็คงกดดันอย่างหนักเพื่อให้ได้อะไรบางอย่างที่ดีกว่านี้"
เขาชี้ไปที่โฟกัสการโจมตีของกลุ่มตาลีบันทางภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งไม่ใช่ฐานที่มั่นดั้งเดิมของพวกเขาที่อยู่ทางใต้
ตาลีบันยังยึดจุดผ่านแดนและจุดตรวจที่สำคัญ ทำให้รายได้จากภาษีศุลกากรที่จำเป็นมาก ไหลออกมาจากฝายรัฐบาล
พวกเขายังเพิ่มเป้าหมายการสังหารเจ้าหน้าที่สำคัญ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และนักข่าวอีกด้วย ค่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยพื้นที่ที่ตีได้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาแบบช้าแต่ชัวร์
สำหรับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอัฟกันนั้น เป็นการยากกว่าที่จะให้คำจำกัดความ
คำมั่นสัญญาที่จะทวงคืนดินแดนทั้งหมดที่กลุ่มตาลีบันยึดครองนั้น ฟังดูกลวงมากขึ้น
แบร์รี่บอกว่าดูเหมือนว่าแผนของพวกเขาเป็นการยึดเมืองใหญ่ ๆ มีการส่งหน่วยคอมมานโดอัฟกันเข้าไปช่วยป้องกันไม่ให้พวกมันแตก แต่คำถามก็คือพวกเขาจะยื้อมันไปได้นานแค่ไหน
กองกำลังพิเศษอัฟกันมีจำนวนค่อนข้างน้อย พวกเขามีกำลังพลประมาณ 10,000 หน่วย และก็ได้ยืดออกไปจนสุดแล้ว
นอกจากนั้น ตาลีบันก็ยังดูเหมือนจะชนะสงครามโฆษณาชวนเชื่อด้วย
แบร์รี่บอกว่าแรงหนุนเนื่องของพวกเขาในสนามรบ ได้เพิ่มขวัญกำลังใจและทำให้พวกเขารู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลอัฟกันกลับถอยหลัง โต้แย้ง และไล่นายพลออก