เตือนภัย จนท.ศูนย์ดิจิตอลชุมชนโร่แจ้ง ตร.เป็นหนี้ออนไลน์โดยไม่รู้ตัว

12 สิงหาคม 2564 นายอุดมศักดิ์ แป้งหอม อายุ 30 ปี ชาว ต.หนองแวง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์   ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ดิจิตอลชุมชน เทศบาลตำบลหนองแวง อ.ละหานทราย ได้นำหลักฐานเข้า แจ้งความที่ สภ.ละหานทราย ว่าถูกแก๊งปล่อยเงินกู้ออนไลน์หลอกเอาเอกสารหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน และบัญชีธนาคาร ไปเข้าระบบกู้เงินออนไลน์แล้วโอนเงินเข้าบัญชีโดยไม่รู้ตัวจำนวน 1,625 บาท  ซึ่งมารู้ภายหลังเมื่อแก๊งเงินกู้ออนไลน์โพสต์ทวงประจานผ่านเฟซบุ๊ก ทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน 3,000 บาท

โดยนายอุดมศักดิ์ บอกว่า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปสอบถามเรื่องเงินกู้ออนไลน์ กับเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง พอสอบถามเสร็จตนก็ตอบกลับไปว่าสนใจ ทางเพจก็บอกให้ตนส่งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน และสมุดบัญชีธนาคารไปให้เพื่อตรวจสอบ ว่ามีฐานเงินเดือนเท่าไหร่และทำงานอะไร เพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ ตนก็หลงเชื่อส่งเอกสารไปให้ แต่พอทางเพจทักกลับมาบอกให้ตนโอนเงินเป็นค่าดำเนินการด้านเอกสารก่อนจำนวน 200 บาท ตนเองก็เริ่มเอะใจกลัวจะถูกหลอก เพราะมีการเรียกเก็บเงินก่อน จึงปฏิเสธไม่โอนค่าเอกสารให้และไม่ตกลงที่จะกู้เงินออนไลน์กับเพจดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีจำนวน 1,625 บาท ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นเงินค่าตอบแทนจากเทศบาลที่โอนมาให้ ก็ถอนไปใช้จ่ายตามปกติ    

แต่วันต่อมามีโทรศัพท์เข้ามาหาบอกว่าตนไปกู้เงินออนไลน์จากเพจของเขา ซึ่งกู้ผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อ rocket loan ตนตกใจเพราะไม่เคยไปกู้เงินผ่านแอพพลิเคชั่นนี้มาก่อน ทั้งยังบอกว่าให้ตนโอนเงินไปชำระคืนจำนวน 3,000 บาท ตนก็ยืนยันว่าไม่ได้กู้ทำไมจะต้องจ่าย กระทั่งมีข้อความโพสต์ทวงเงินประจานผ่านเฟซบุ๊ก  จึงไปนึกย้อนดูและเช็คดูยอดเงินย้อนหลังก็คิดว่าน่าจะเป็นยอดเงิน 1,625 บาท ที่ตนเข้าใจว่าเป็นค่าตอบแทนจากเทศบาล หากแก๊งปล่อยกู้ออนไลน์ได้โอนเงินมาจริง 1,625 บาท ทำไมถึงเรียกเก็บคืนถึง 3,000 บาท ซึ่งพฤติกรรมและวิธีการของกลุ่มแก๊งดังกล่าวเหมือนเป็นการมัดมือชก ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้ตกลงจะกู้เงินเพียงแต่หลงเชื่อส่งเอกสารไปให้ตรวจสอบในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นหนี้ จึงได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ  เพราะนอกจากจะเป็นหนี้กู้เงินออนไลน์โดยไม่รู้ตัวแล้ว ยังกลัวว่าแก๊งดังกล่าวจะนำเอกสารบัตรประชาชน และบัญชีธนาคารของตนเองไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายด้วย

ข่าว สุรชัย พิรักษา

อยากให้ตำรวจติดตามแก๊งดังกล่าวมาสอบถามข้อเท็จจริง หากมีการโอนเงินให้จริงตนก็พร้อมคืนให้ตามจำนวนที่โอนมา แต่ไม่อยากให้ไปกระทำกับคนอื่นแบบนี้ จากกรณีที่เกิดขึ้นกับตนเองก็อยากเป็นอุทาหรณ์ เตือนภัยกับประชาชนคนอื่น อย่าไปหลงเชื่อหรือเอาเอกสารส่วนตัวให้ใครเด็ดขาดไม่งั้นอาจจะเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว