ช่วงเวลาแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในกรุงโตเกียว (Tokyo 2020) กำลังจะสิ้นสุดลงและเวลาแห่งความสุขของชาวไทยที่จะได้ร่วมเชียร์ก็ใกล้จะหมดลง และคงต้องหาความสุขอื่นๆมาทดแทนต่อในช่วงเวลาที่ต้องลุ้นกับยอดโควิดในแต่ละวันแต่อย่างน้อยภาพความดีใจและร่วมยินดีให้กับน้องเทนนิสจะติดตรึงใจคนไทยไปอีกนาน โดยน้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ได้รับเงินรางวัลอัดฉีด 21,880,000 บาท หลังจากการคว้าเหรียญทองเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัม หญิงในศึกโอลิมปิก โตเกียว 2020 โดยการ ชนะอาเดรียนา อิเกรเซียส เซเรโซ มือ 15 จากสเปนสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่ชาวไทยกันทั้งประเทศ
ซึ่งเรื่องเงินอัดฉีดที่เหล่านักกีฬาได้รับหลังจากที่ไปแข่ง โอลิมปิกเกมส์ 2020 กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังจากมีประเด็น ขอเก็บ ภาษี 7% จากรายได้จากเงินรางวัล ที่ได้รับจาก การอัดฉีดทุกบาท ที่นักกีฬาที่ไปแข่ง โอลิมปิกเกมส์ 2020 และคว้าเหรียญกลับมาได้ทุกคน
ซึ่งทางเนชั่นออนไลน์ได้สัมภาษณ์ เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องภาษีกับ ศาสตราจารย์พิเศษพิภพ วีระพงษ์ และคุณ ปรางค์ทิพย์ อนันตวิภาต ทนายภาษีอากรโดยได้คำตอบว่า เงินอัดฉีดที่น้องเทนนิส นักกีฬาเทควันโด้ หรือน้องแต้วนักมวย และนักกีฬาคนอื่น รวมถึงผู้ฝึกสอนได้รับเป็นรางวัลจากการแข่งขันใน Tokyo 2020 นั้น ผู้ที่ได้รับไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องภาระภาษีแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลได้ออกกฎหมายเป็นกฎกระทรวงที่ 126 ของประมวลรัษฎากร มาเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ไว้ให้แล้ว โดยเป็นมาตรการช่วยเหลือและส่งเสริมทางด้านการกีฬา แต่ทั้งนี้ จะต้องระวังว่าการยกเว้นดังกล่าวจะต้องเป็นเงินรางวัลที่ให้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ค่าสปอนเซอร์ หรือการโฆษณาแฝง สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ไม่มีประเด็นภาษีอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่การขายสินค้าหรือให้บริการที่จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด