นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES พร้อมด้วยตัวแทนกรมควบคุมโรค นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นหมอชนะ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล หรือ สพร. แถลงจุดยืนการใช้งานแอพพลิเคชั่นหมอชนะ ว่ายังคงทำงานร่วมกัน ระหว่างนักพัฒนาฯและภาครัฐ
ซึ่งแผนการส่งมอบการดูแลแอพฯ หมอชนะ ให้กับภาครัฐ เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2563 หลังการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานแอพฯ สูงขึ้น ทำให้คลาวด์เก็บข้อมูลเดิมเริ่มไม่เพียงพอ จึงต้องใช้คลาวด์กลางภาครัฐ มารองรับการเก็บข้อมูลโดยมีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแล หลังจากก่อนหน้านี้มีเพียงกลุ่มอาสาที่เข้ามาพัฒนาแอพพลิเคชั่น แต่เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้นทางรัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องทำให้การใช้งานแอพพลิเคชั่นนี้ มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น เป็นระบบระเบียบ สามารถบริหารจัดการได้ทั้งกำลังคน งบประมาณ และสถานที่ ตัวแทนผู้พัฒนาแอพฯ ปฏิเสธถึงบุคคลที่มาให้ข่าวการถอนตัวของกลุ่มนักพัฒนาอาสาก่อนหน้านี้ ว่าไม่ใช่นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นหมอชนะ โดยคาดว่าน่าจะเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน
นักพัฒนาอาสา ยังยืนยันว่ากลุ่มนักพัฒนาอาสา ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้มานานกว่า 10 เดือนแล้ว และไม่ได้ถอนตัวจากการดูแลแอพพลิเคชั่นแต่เป็นการส่งมอบให้รัฐบาลดูแลต่อ เนื่องจากมีกลุ่มผู้ใช้งานมากถึง 7 ล้านคน เสมือนมีลูกหนึ่งคนเมื่อเติบโตขึ้นลูกก็ต้องเข้าโรงเรียน ซึ่งจะทำให้การตรวจสอบข้อมูล การเก็บข้อมูล รวมถึงการบริหารแอพพลิเคชั่น เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีเอกภาพมากยิ่งขึ้นส่วนกรณีที่มีบุคคลที่อ้างตัวเป็นนักพัฒนาแอพฯ ออกมาระบุว่า ภาครัฐล้วงลูกเกี่ยวกับระบบการเปลี่ยนสี หรือการระบุตัวบุคคลถึงความเสี่ยงว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่นั้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรคยืนยันว่าภาครัฐไม่สามารถแทรกแซงได้ แต่เป็นการให้ข้อมูลของกรมควบคุมโรค ที่จะต้องได้ข้อมูลมาจากนักสอบสวนโรค หลังจากยืนยันว่าบุคคลติดเชื้อโควิด-19 จึงจะส่งข้อมูลให้กับกระทรวงดีอีเอสให้เปลี่ยนจากสีเขียวหรือสีเหลืองให้เป็นสีแดง ซึ่งขั้นตอนต่อไปตัวแอพพลิเคชั่นก็จะให้ข้อมูลกับประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อยูใกล้เคียง เพื่อเข้าสู่การตรวจเชื้อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ยังทิ้งท้ายว่าแอพพลิเคชั่นนี้มีความสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยากให้ทุกคนโหลดแอพพลิเคชั่นเพื่อง่ายต่อการสอบสวนโรคหากพบผู้ติดเชื้อขึ้น และอยากให้ประชาชนมั่นใจว่าภาครัฐให้ความสำคัญของหลักสิทธิส่วนบุคคลมากพอกันกับสุขภาพของประชาชน